ประวัติศาสนาซิกข์

August 11, 2019 shantideva 0

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ไปยังการนำทางไปยังการค้นหา ประวัติของศาสนาซิกข์ เริ่มต้นขึ้นโดยคุรุนานักเทพจิ คุรุศาสดาคนแรก ราวคริสต์ศตวรรศที่ 15 ในภูมิภาคปัญจาบทางตอนเหนือของอนุทวีปอินเดีย เมื่อเวลาผ่านไป การปฏิบัติตนในศาสนาได้ถูกทำให้เป็นแบบแผนมากขึ้นและเป็นระบบระเบียบโดยคุรุท่านต่อ ๆ มา โดยเฉพาะ คุรุโควินทสิงห์ เมื่อปี 1699[1] ศาสนิกชนกลุ่มแรกซึ่งล้วนมาจากภูมิหลังทางสังคมที่ต่างกัน รวมกันเป็นขาลสา (ਖ਼ਾਲਸਾ) โดย 5 คนแรกที่ได้เปลี่ยนศาสนาเข้ามานั้นเรียกว่า “ปัญจเปียร์” เป็นผู้เปลี่ยนศาสนาและรับคุรุโควินทสิงห์เข้ามาในสังคมขาลสา[2] ประวัติของศาสนาซิกข์เกี่ยวข้องมากกับประวัติศาสตร์ปัญจาบ ในสมัยจักรวรรดิโมกุล (1556 – 1707) ศาสนาซิกข์เกิดความไม่ลงรอยกับกฎหมายจักรวรรดิซึ่งเป็นมุสลิม ด้วยปัญหาทั้งทางการเมืองและความเชื่อของซิกข์ที่เพิ่มเติมนักบุญจากทั้งฮินดูและอิสลามเข้ามา คุรุซิกข์คนสำคัญถูกประหารชีวิตเพราะปฏิเสธที่จะเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลาม[3] และเพราะต่อต้านการดำเนินคดีของจักรวรรดิต่อชาวซิกข์และชาวฮินดู[4][5][6][7][8][9] คุรุสองท่านที่ถูกประหารชีวิตและทรมานอย่างหนัก ได้แก่ คุรุอรชุน และ คุรุเตฆหบดูร์[10][11][12][13] รวมถึงบุคคลสำคัญในศาสนาที่ได้รับการเคารพจากศาสนิกชน เช่น Banda Bahadur, Bhai Mati Das, Bhai Sati Das และ Bhai Dayala[9][12][13] ดังนั้นศาสนาซิกข์จึงจัดตั้งกองทัพซิกข์ขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิโมกุล การก่อเกิดขึ้นของ Sikh Confederacy ภายใต้ misl และ อาณาจักรซิกข์ นำการปกครองโดยมหาราชา รันจิต สิงห์ ซึ่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาด้วยความต้านทางทางศาสนาและแนวคิดพหุศาสนา (Religious pluralism) ร่วมกับชาวคริสต์ ฮินดู และมุสลิม ในตำแหน่งของอำนาจ การก่อตั้งอาณาจักรซิกข์นั้นถือเป็นจุดสูงสุดของศาสนาซิกข์ในเชิงการเมือง[14] ขณะที่อาณาจักรซิกข์ขยายอาณาเขตครอบคลุมกัศมีร์, Ladakh และ Peshawar ก็ทำให้มีศาสนิกชนเปลี่ยนศาสนามาเป็นซิกข์จำนวนมาก ด้วยจากทั้งความเกรงกลัวในอำนาจก็ดี หรือจากเหตุผลเชิงธุรกิจก็ดี[15]

กัลยาณมิตรกับความเป็นพระโพธิสัตว์

August 5, 2019 shantideva 0

พระบรมโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ กว่าจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านต้องสร้างบารมี ชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันทีเดียว ทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้กับตนเองและคนอื่นเรื่อยมา ด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่และมุ่งมั่นนั้น ท่านจึงยอมสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สินภายนอก และทรัพย์ภายใน คือ อวัยวะ เลือด เนื้อ แม้กระทั่งชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ คือ ญาณหยั่งรู้ ในสรรพศาสตร์ ที่เป็นเหตุให้รู้แจ้งโลกทั้งปวง การสร้างบารมีของท่านถึงกับมีอุปมาไว้ว่า ในเส้นทางการสร้างบารมี แม้จะมีถ่านเพลิงร้อนระอุตลอดเส้นทางมาขวางกั้น หรือจะมีทะเลเพลิง ลุกโพลงโชติช่วงจนมองไม่เห็นฝั่ง แต่หากรู้ว่าจุดหมายปลายทางข้างหน้า คือ ฝั่งแห่งพระนิพพาน อันเป็นบรมสุข ท่านก็จะอดทนฝ่าฟันข้ามไป เพื่อแลกกับการได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะยอมสละทุกสิ่ง เพื่อพระสัทธรรมอันประเสริฐ” ตั้งแต่นั้นมาก็สร้างบารมีเรื่อยมาโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากจนได้บรรลุอภิสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นศาสดาเอกของโลก การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งปรารถนาพุทธภูมิอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งนิพพานนั้น เพียงแค่คิดก็ยากแล้ว ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร จากนั้นต้องยํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำ หมั่นตอกยํ้าซํ้าเดิม ในมโนปณิธาน ที่แน่วแน่ ไม่ได้คำนึงถึงเวลาว่าอีกกี่เดือน กี่ปี กี่ภพ กี่ชาติจึงจะสมปรารถนา ท่านสร้างบารมี อย่างไร้กาลเวลา บารมีแก่รอบเมื่อไรก็สมปรารถนาเมื่อนั้นพระโพธิสัตว์จึงเป็นบุคคลที่มีใจเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลาย เมื่อจะทำทานก็ทำแบบทุ่มเทสุดหัวใจ ชาวโลกส่วนใหญ่นั้นอยากได้ แต่ท่านอยากให้ ให้ได้กระทั่งเลือดเนื้อและชีวิตเป็นทาน พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุดยอดนักเสียสละของโลกและจักรวาล การรักษาศีลหรือเจริญภาวนา ก็ทุ่มเทจนตลอดชีวิต เพียรพยายามมานับภพนับชาติไม่ถ้วน แม้รู้ว่าหนทางสู่ความเป็นพระพุทธเจ้านั้นยัง อีกยาวไกล อย่างไรก็ตามขณะที่สร้างบารมีอยู่นั้น มีพระโพธิสัตว์จำนวนไม่น้อยที่เกิดท้อถอยในระหว่างทาง เพราะยังเป็นประเภทอนิยตโพธิสัตว์ คือ เห็นว่าการรื้อสัตว์ขนสัตว์ช่างยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ จึงปรารถนาเป็นเพียงพระอัครสาวกบ้าง พระอริยสาวกบ้าง ซึ่งการสร้างบารมีไม่ยาวนานมาก เพียงให้ได้หมดกิเลสเป็นพระอสีติมหาสาวกใช้เวลาอย่างน้อย 100,000 กัป พระอัครสาวกก็ใช้เวลา 1 อสงไขย กับ 100,000 กัป ท่านได้สร้างบารมีเช่นนั้นมายาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน จนกระทั่งเกิดอุปมาว่า ท่านได้สละเลือดเนื้อและชีวิต เฉพาะที่เป็นเลือดก็มากกว่าน้ำในท้องทะเลมหาสมุทร สละเนื้อเป็นทานมากกว่าแผ่นดิน บนพื้นชมพูทวีป ที่ควักลูกนัยน์ตาก็มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า และที่ตัดศีรษะบูชาธรรม มากยิ่งกว่าผลมะพร้าวในชมพูทวีป นั่นคือข้อความที่อุปมาไว้ ท่านทำเช่นนั้นนับภพนับชาติกันไม่ถ้วน จากการศึกษาประวัติ การสร้างบารมีของท่านที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติอันยาวนานของ พระพุทธองค์เท่านั้น อันที่จริง พระพุทธองค์ทรงสร้างบารมีมานานถึง 20 อสงไขย แสนมหากัป โดย 8 อสงไขยแรก เพียงคิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังไม่กล้าบอกใคร เมื่อความคิดดี ติดแน่นอยู่ที่ศูนย์กลางกายมากเข้า ก็เปล่งวาจาบอกคนรอบข้าง เมื่อพบพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ท่านจะเข้าไปกราบนมัสการ ทำบุญกุศลกับ พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้วกราบทูลถึงความปรารถนาดีของตัวท่านเองว่า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตบ้าง พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็จะทรงชื่นชมอนุโมทนา และทรงอวยพรให้ท่านสมหวังดัง ใจปรารถนาเรื่อยมา ท่านได้พบพระพุทธเจ้ามามากมายหลายพระองค์ แต่ยังไม่ได้รับคำยืนยันหรือ คำพยากรณ์ใดๆ อย่างไรก็ตามท่านก็สร้างบารมีอย่างไม่ย่อท้อ ครั้นครบ 16 อสงไขย ในสมัยที่ท่านเป็นสุเมธดาบส ท่านได้นอนทอดร่างเป็นสะพาน เพื่อให้พระทีปังกรพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตขีณาสพเดินข้ามโคลนตมไป ท่านจึงได้รับ คำพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้าพระองค์แรกว่า อีก 4 อสงไขยแสนมหากัป สุเมธดาบสจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า สมณโคดมและหลังจากนั้นมาอีก 4 อสงไขยแสนมหากัป เมื่อบารมีของท่านเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ก็สมปรารถนา ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นยอดกัลยาณมิตรของโลก สมดังพุทธพยากรณ์ทุกประการ ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ต้องรักในการทำหน้าที่กัลยาณมิตรเป็นชีวิตจิตใจควบคู่ไปด้วย จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้เลย ในขณะเดียวกัน ผู้ที่รักในการทำหน้าที่กัลยาณมิตร มีใจประกอบด้วยมหากรุณา คอยทำหน้าที่แนะนำมหาชนให้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ชักชวนให้ละจากบาปอกุศล ทำความดีทุกอย่าง และชักชวนให้มาประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสมาธิเจริญภาวนา แสดงว่าเป็นผู้มีหัวใจของพระบรมโพธิสัตว์ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ มีสิทธิ์ปรารถนาพุทธภูมิ และดำเนินตามปฏิปทาของพระโพธิสัตว์ ทั้งหลายในปางก่อน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาจะสูงส่งหรือยิ่งใหญ่สักเพียงใด ก็จะได้เท่า

เข้าพรรษามหายานและทวาทศธูตะ

July 31, 2019 shantideva 0

โดย…กรกิจ ดิษฐาน เมื่อผมลองสำรวจตำราของตะวันตก พบว่าส่วนใหญ่ระบุว่าพุทธศาสนาฝ่ายมหายานไม่มีธรรมเนียมเข้าพรรษา แต่ที่จริงแล้วฝ่ายมหายานทั้งในทิเบต จีน จนถึงญี่ปุ่นต่างก็เข้าพรรษาเช่นเดียวกับฝ่ายเถรวาท มีระยะเวลา 3 เดือนเท่ากัน เพียงแต่กำหนดฤดูกาลต่างกันตามสภาพภูมิอากาศ การเข้าพรรษาของมหายานเรียกว่า “เข้าพรต 3 เดือน” หรือ “การหยุดพักเพื่อสงบกายใจ” ในจีนน่าจะเริ่มปฏิบัติตั้งแต่พระวินัยของฝ่ายยานน้อยเข้ามา คือประมาณราชวงศ์ฮั่นจนถึงยุคหนานเป่ย (ศตวรรษที่ 3-6) ส่วนในญี่ปุ่นเริ่มธรรมเนียมเข้าพรรษาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 อย่างที่กล่าวไปว่าเข้าพรรษาแต่ละนิกายและประเทศขึ้นกับสภาพภูมิอากาศ จึงมีระยะเวลาที่ต่างกันไป ตามบันทึกการจาริกไปดินแดนตะวันตกของพระถังซำจั๋ง กล่าวว่า พระสงฆ์ในชมพูทวีป มักเข้าพรรษาช่วงเดือนกลาง 5 ถึงกลางเดือน 8 หรือกลางเดือน 6 ถึงกลางเดือน 9 (ในไทยเดี๋ยวนี้มักเข้าเดือน 8 ไปออกเดือน 11) ประเทศเอเชียกลาง (ไซอิ๋ว) บางแห่ง เช่น แคว้นตุษร หรือ Tokhara (แถบซินเจียง) จะเข้าพรรษาระหว่างกลางเดือน 12 ปีเก่าจนถึงกลางเดือน 3 ปีใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพฤดูกาล ซึ่งฝนตกหนักในช่วงนั้น ส่วนในจีนถือตามพระวินัยของนิกายธรรมคุปต์ โดยเข้าเดือน 5 ถึงเดือน 8 แต่ในทางปฏิบัติจีนและญี่ปุ่นนิยมเข้ากันกลางเดือน 4 จนถึงกลางเดือน 7 ที่แบ่งวันต่างกันคาดว่าเพราะต้องการให้ตรงกับการกำหนดฤดูกาลของอินเดีย ซึ่งมี 3 ฤดู ฤดูฝนมี 4 เดือน จึงแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ 3 เดือนหน้า กับ 3 เดือนหลังไม่ก่อนไปกว่านี้ ไม่ช้าไปกว่านี้ ดูเหมือนว่าจะมีเดือน 7 คาบเกี่ยวเป็นหลักกลาง อย่างไรก็ตาม มีการตีความว่าจำต้องมีการเข้าพรรษาเดือนกลางด้วย ซึ่งกำหนดไว้ที่กลางเดือน 4 ถึงกลางเดือน 5 โดยไม่จำเป็นต้องครบ 3 เดือน แต่นักวิชาการบางท่านแย้งว่าคณาจารย์ตีความพระวินัยคลาดเคลื่อน เกมส์ยิงปลา

ญี่ปุ่นเปิดตัวหุ่นยนต์สวดศพ แทนพระเป็นๆ ได้แล้ว

July 30, 2019 shantideva 0

โดย…สมาน สุดโต เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2560 หนังสือพิมพ์เจแปนไทมส์ รายงานว่า บริษัทญี่ปุ่นเปิดตัวพระหุ่นยนต์ที่จะเป็นทางเลือกให้กับญาติของผู้เสียชีวิตในการหาพระสวดศพ และมีราคาถูกกว่าการจ้างพระตัวจริงในการประกอบพิธีศพ บริษัท นิสเซอิ อีโค่ จากกลุ่มบริษัทซอฟต์แบงก์ในญี่ปุ่นเปิดตัว เปปเปอร์ (Pepper) หุ่นยนต์ขนาดความสูง 120 เซนติเมตร มีส่วนหัวขาวกลม ตั้งโปรแกรมให้ทำหน้าที่แทนพระในการสวดศพได้ ก่อนหน้านี้หุ่นยนต์ที่ชื่อว่า เปปเปอร์ เคยเปิดตัวเพื่อช่วยให้บริการในธนาคาร ร้านซูชิ และบ้านพักคนชรา โดยหุ่นยนต์ตัวนี้จะเป็นตัวแรกของโลกที่เข้ามาทำหน้าที่ในการประกอบพิธีศพแทนที่พระ และเป็นทางเลือกให้กับญาติๆ ในการประหยัดค่าประกอบพิธีศพ โปรแกรมของพระหุ่นยนต์นี้ ตั้งค่าให้อ่านบทสวดของพุทธทั้ง 4 นิกายหลักของประเทศญี่ปุ่นได้ และคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายต่อครั้งในการสวดอยู่ที่ราวๆ 5 หมื่นเยน หรือประมาณกว่า 1.5 หมื่นบาท ซึ่งถูกกว่าการนิมนต์นักบวชให้มาทำพิธีศพที่ญาติอาจต้องจ่ายราว 3-4 หมื่นบาท การออกผลิตภัณฑ์นี้เป็นไปตามแผนทางบริษัท นิสเซอิ อีโค่ ที่เล็งจะผลิตและผลักดันนวัตกรรมสู่การทำพิธีศพ โดยอิงจากจำนวนประชากรญี่ปุ่นที่เข้าสู่ช่วงสูงวัยมากขึ้น รวมไปถึงแนวทางการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้คนที่นิยมการใช้ของที่สะดวกสบายและมีราคาถูก ทั้งนี้ หุ่นยนต์เปปเปอร์ (Pepper) กับการบริการด้านทำพิธีศพ เปิดตัวเป็นจุดเด่นในงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการสิ้นอายุขัย (The Life Ending Industry Expo) ที่มีการรวมตัวกันของบรรดาห้างร้านที่ทำธุรกิจด้านพิธีศพ ส่วนราคาหุ่นตัวนี้อยู่ที่ราว 6 หมื่นบาท และต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนอีก 7,500 บาท เมื่อฟังเสียงสวดของหุ่นยนต์ จากวิดีโอให้รู้สึกวังเวงได้เลยครับ (cr Japan times และ Khaosod) งานครบรอบ 72 ปี วันสันติภาพไทย 72 ปี วันสันติภาพไทย… เยาวชนไทยรวมพลังพร้อมเพรียงในกิจกรรม “วันสันติภาพไทย…ในหัวใจเยาวชน” จัดโดยกรุงเทพมหานครและสถาบันปรีดี พนมยงค์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 72 ปี “วันสันติภาพไทย” ณ หอสมุดเมืองกรุงเทพมหานคร (Bangkok City Library) ถนนราชดำเนิน แสดงศักยภาพของเยาวชนในด้านความเข้าใจเรื่องสันติภาพและทักษะด้านวรรณศิลป์ ในพิธีมอบโล่รางวัลการประกวดเขียนเรียงความหัวข้อ “ประวัติศาสตร์มีชีวิต” พร้อมรับฟังธรรมกถาและร่วมกิจกรรมเสริมสร้างความรู้คู่ศีลธรรม จุดประกาย ความรัก ความรู้ และการแบ่งปัน ในหัวใจเยาวชน เมื่อเร็วๆ นี้ กิจกรรม “วันสันติภาพไทย…ในหัวใจเยาวชน” ได้รับเกียรติจาก ปราณี สัตยประกอบ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดงานพร้อมมอบโล่รางวัลให้แก่เยาวชนที่ชนะการประกวดเขียนเรียงความในระดับประถมและมัธยม ในโอกาสนี้ยังได้นิมนต์พระราชญาณ กวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เดินทางมาแสดงธรรมกถาแก่เด็กๆ ในหัวข้อ “ศีลธรรมของยุวชนคือสันติภาพของโลก” ด้วย

มข.เผยวิธีเผาหลวงพ่อคูณ ทำอย่างไรไม่ให้อัฐิเล็ดลอด

July 29, 2019 shantideva 0

คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผย จะใช้ไม้จิกเผาหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ และมั่นใจหลังเสร็จสิ้นพิธีพระราชทานเพลิงศพ อัฐิจะไม่เล็ดลอด และนำอังคารลอยลงสู่แม่น้ำโขง รองศาสตราจารย์นายแพทย์ ชาญชัย พานทองวิริยะกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวภายหลังร่วมงานพิธีบำเพ็ญบุญกุศลทักษิณานุประทาน แด่พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีแห่งการละสังขาร กราบสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ที่ห้องเก็บสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ชั้น 7 อาคารเรียนรวม ที่คณะกรรมการจัดงานได้อนุญาตให้ประชาชน ได้เข้ากราบสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ สำหรับพิธีพระราชทานเพลิงศพครูใหญ่หลวงพ่อคูณนั้น ได้กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม 2562 โดยช่วงก่อนถึงวันพระราชทานเพลิงศพนั้น ได้กำหนดจัดให้มีพิธีบำเพ็ญกุศล ที่ศูนย์ประชุมเอนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นเวลา 7 วัน คือระหว่างวันที่ 22-28 มกราคม 2562 ทั้งนี้ ในการเตรียมการในงานพระราชพิธีดังกล่าวนั้น ทั้งในส่วนของการจัดสร้างเมรุชั่วคราว ในรูปนกหัสดีลิงค์ เทินบุษยบก ที่ขณะนี้ใกล้จะแล้วเสร้จสมบูรณ์แล้ว โดยได้เริ่มลงมือก่อสร้างตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา งบประมาณในการก่อสร้างส่วนหนึ่งมาจากการเงินบริจาค โดยเมื่อครั้งงานศพหลวงพ่อคูณเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา มียอดเงินคงเหลือประมาณ 51 ล้านบาท ซึ่งเงินทั้งหมดได้ฝากไว้ในบัญชีมีการตั้งคณะกรรมการดูแลบัญชี ในชื่อกองทุนหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ มูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในขั้นตอนของการพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อคูณ ในเมรุชั่วคราว ทำขึ้นด้วยรูปนกหัสดีลิงค์เทินบุษบก ได้มีการวางแผนไว้เป็นอย่างดีและรอบคอบ โดยเฉพาะกับอัฐิของหลวงพ่อคูณ ที่ฝ่ายรับผิดชอบ คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะศิลปกรรมศาสตร์ ได้ประสานการทำงานร่วมกันกับคณะแพทยศาสตร์ ในการทำเป็นกล่องโลหะ มีตะแกรงด้านบน โดยจะใช้ไม้จิก ซึ่งเป็นไม้ที่มีความร้อนสูง โดยเมื่อเผาเสร็จอัฐิจะตกลงในกล่อง คณะทำงานจะปิดกล่องทันที จากนั้นก็จะเดินทางไปลอยอังคารลงสู่แม่น้ำโขงในจุดที่ลึกที่สุดที่จังหวัดหนองคาย และพื้นที่ที่ใช้ในการพระราชทานเพลิงศพนั้นจะมีการสร้างอนุสรณ์สถานครอบไว้ เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บเครื่องอัฐบริขารไว้เป็นที่ระลึกในวันพระราชทานเพลิงศพทั้งหมดจะเป็นอนุสรณ์ของหลวงพ่อคูณ อีกทั้งจะมีการนำโลงแก้ว,อ่างดอง,เตียงครูใหญ่,อุปกรณ์ผ่าตัดครูใหญ่,รูปปั้นหลวงพ่อ ที่ได้รับมอบจากวัดบ้านไร่ทั้งหมด จะถูกนำมาเก็บไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้ สำหรับการเป็นสถานที่ที่รำลึกถึงหลวงพ่อคูณตลอดไป เกมส์ยิงปลา

สมาธิ

July 28, 2019 shantideva 0

ในบทนี้เป็นการกล่าวถึงความสำคัญของการที่มีจิตที่เป็นสมาธิ เพราะการที่จะพัฒนาตัวเรา ให้เป็นผู้มีปัญญาได้นั้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งก็คือเราจำเป็นต้องมีจิตที่ตั้งมั่น มีสมาธิ ไม่ กวัดแกว่ง เพราะหากว่าเราไม่สามารถควบคุมจิตของเราได้แล้ว ก็ย่อมเสี่ยงต่อการตกอยู่ใน อุ้งเล็บของมโนภาพที่หลงผิด เสี่ยงต่อความคิดอันเกิดจากโลภ โกรธ หลง จะเข้ามาได้ง่าย และนำไปสู่การกระทำที่หลงผิดได้อย่างไม่ยากเย็น กุศลกรรมและความตั้งใจทำที่ดีก็จะถูกชัก นำให้หันเหไปในที่สุดดังนั้น ถ้าเราไร้ซึ่งจิตอันเป็นสมาธิเสียแล้ว ก็ย่อมเป็นการง่ายต่อการที่ จะถูกโจมตีด้วยมโนภาพแห่งความหลงผิดทั้งปวง และวิธีที่จะเริ่มละวางโลกีย์วิสัยอันเป็นโทษให้ได้นั้น ในทางกายคงต้องเริ่มต้นด้วยการละวาง หรือละเว้นการกระทำใด ๆ ที่ไม่จำเป็นออกเสีย ส่วนทางจิตนั้น เราควรพยายามหลีกเลี่ยง ที่จะวางแผนหรือครุ่นคิดหมกหมุ่นในเรื่องที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว หรือเพ้อ ฝันความหวังในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่เราควรดำรงตนให้อยู่กับปัจจุบันทุกขณะจิตว่าเป็น อย่างไร จะเป็นประโยชน์มากกว่า อุปสรรคสำคัญของการมีสมาธิเพื่อละวางจากโลกียวิสัยนั้นก็คือความยึดติด ไม่ว่าจะเป็นความ ยึดติดในบุคคล หวังละโมบในผลประโยชน์ทางวัตถุและสิ่งต่าง ๆ ผู้ปฏิบัติสมาธินั้นพึงปฏิบัติ เพื่อละวางการยึดติดเหล่านั้น หาไม่แล้วการปฏิบัติสมาธิที่มีแต่การนำไปสู่การยึดติดหลงไหล เพิ่มพูลความวิเศษ ในอัตตาตัวตน จะเรียกว่าเป็นสมาธิที่นำไปสู่ปัญญาได้เช่นไร ส่วนวิธีการปฏิบัติสมาธินั้น ในพระสูตรคำสอนมหายานมีอยู่หลายวิธี แต่ส่วนใหญ่จะสอนให้ เราเริ่มต้นที่การปฏิบัติสมาธิ เพื่อละวางซึ่งมโนภาพที่หลงผิดในจิตของตนเองให้ได้เสียก่อน ด้วยการใช้ยาแก้ให้ถูกขนานกับแต่ละมโนภาพแห่งความหลงผิดนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น หากบุคคล มักโกรธง่ายเกลียดง่าย ก็ควรเริ่มต้นปฏิบัติสมาธิวิธีที่นำไปสู่การพัฒาความรักความเมตตา กรุณา ถ้าบุคคลดมีตัณหามาก มีความละโมบมาก ก็ให้ปฏิบัติสมาธิพิจารณาถึงความทุกข์ความ ไม่แน่นอนแห่งห้วงวัฏสงสาร และความไม่คงทนยั่งยืนของวัตถุ หรือผลประโยชน์ที่เราอยากได้ เพื่อให้ได้ตระหนักถึงธรรมชาติที่แท้จริงของมัน ไม่ให้ลุ่มหลงไปกับมายาภาพที่ฉาบเคลือบเอา ไว้ และที่สำคัญที่สุดการปฏิบัติสมาธินั้นควรเป็นไปเพื่อความพยายามในการตัดสายโซ่แห่งบ่วง อวิชชา เพราะอวิชชาหรือความไม่รู้นี้เองที่เป็นตัวนำไปสู่ความสับสน ความหลงผิดในมายา คติต่าง ๆ หากเราสามารถจะละได้ความเป็นอวิชชาเข้าใจถึงธรรมชาติอันแท้จริงของสรรพสิ่ง ท้ายที่สุดก็ย่อมนำเราไปสู่ปัญญานั่นเอง แต่ในทางกลับกัน หากการปฏิบัติสมาธิใด ๆ ก็ตาม กลับนำเราไปสู่อวิชชามากขึ้น นำไปสู่ความไม่รู้มากขึ้น หลงวนเวียนอยู่มายาคติมากขึ้น ก็คง เป็นไปได้แค่เพียงสมาธิชนิดที่นำไปสู่อุ้งเล็บของความหลงผิดเท่านั้นเอง

ปัญญา

July 27, 2019 shantideva 0

ในบทนี้คือผลที่พึงบังเกิดจากการที่พระบรมครูทั้งหลายได้สั่งสอนวิถีการปฏิบัติอันหลากหลาย ก็เพื่อให้บังเกิดปัญญา เพื่อนำพาสรรพชีวิตทั้งหลายที่หลงวนอยู่ในห้วงทุกข์แห่งวัฏสงสารได้ พัฒนาปัญญา เพื่อถึงซึ่งการสงบระงับแห่งความทุกข์ เพื่อขจัดเสียซึ่งอวิชาทั้งปวง ทั้งนี้ ธรรมชาติแห่งปัญญา ก็คือการได้หยั่งรู้ และได้เข้าใจถึงความจริง ๒ ระดับ คือ ระดับสมมติสัจ และปรมัตถสัจ โดยสมมติสัจ เป็นความจริงที่ตั้งขึ้นจากจุดยืนของจิตที่หลอกลวงปิดบังความ จริงแท้ ขณะที่ปรมัตถสัจ เป็นความจริงอันหยั่งถึงโดยพระปัญญาของพระผู้เป็นเลิศ ซึ่งไม่มีสมมติสัจปรากฎ การอธิบายถึงปัญญาในบทนี้ อธิบายในรูปแบบของบทสนทนาถามตอบระหว่างนิกายมาธยมิกะ โดยมีอาจารย์ศานติเทวะเป็นตัวแทน กับพุทธศาสนานิกายอื่น ซึ่ง ทอกมี ซังโป อาจารย์ชาวธิเบต เป็นผู้ให้คำอธิบายและอรรถกถา เนื้อหาของคัมภีร์อีกต่อหนึ่ง โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ อาทิ การอธิบาย ธรรมชาติแห่งปัญญา การแก้ข้อกล่าวหาของฝ่ายจิตตามตริน เรื่อง ปรมัตถสัจ สุญตา แนะนำวัตถุ แห่งการทำสมาธิ ความเป็นอนัตตา ความไร้เอกลักษณ์แห่งปรากฎการณ์ ความมีสติแห่งจิต และ ความเข้าใจในภาวะแท้ เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวมีความลุ่มลึก จำเป็นที่ผู้อ่านพึงอ่านจากฉบับ สมบูรณ์ ตามที่ รศ. ดร. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ได้กรุณาแปลไว้อย่างครบถ้วน และง่ายต่อการทำ ความเข้าใจยิ่งขึ้นไว้แล้ว เกมส์ยิงปลา

ความอดทน

July 26, 2019 shantideva 0

ในบทนี้กล่าวถึงความสำคัญของความอดทนในการสร้างโพธิจิตให้บังเกิดขึ้นกับตนเอง โดยอาจารย์ ศานติเทวะกล่าวไว้ว่า ” ความดีงามอันประเสริฐที่ได้สั่งสมมาจากการถวายความเคารพแด่ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และความ โอบอ้อมอารี เป็นเวลานับพันกัป สิ่งเหล่านั้นจะถูกทำลายลงในชั่วขณะแห่งความโกรธ ดังนั้น ไม่มีความ ชั่วร้ายใดรุนแรงเท่ากับความโกรธ และไม่มีกำแพงใดดีเท่าความอดทน ดังนั้น ข้า จึงควรเพียรพยายาม โดยวิธีต่าง ๆ เพื่อมีสมาธิอยู่กับความอดทน ” นั่นคือความอดทนนั้น เป็นความดีงามอันประเสริฐ และเป็นการฝึกฝนปฏิบัติธรรมอันเลิศ ที่ คอยปกป้องตัวเรา และนำเราให้ซึมซับกับคุณลักษณะอันงดงามแฝงไว้อยู่ในสรรพสิ่งรอบกาย ขณะความโกรธและความเกลียดชังนั้น กลับนำมาซึ่งความเร่าร้อน ทุกข์ทรมาณตั้งแต่ในขณะ ปัจจุบันนี้จนถึงชีวิตหน้าเลยทีเดียว ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ลองสังเกตุเวลาที่เราโกรธ ในชั่วขณะ นั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ความสุขและสันติจะบังเกิดขึ้นในจิตใจ ในใจจะเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน จะส่งผลมาถึงทางกายทำให้อุณภูมิในร่างกายสูงขึ้น รู้สึกเครียด ไม่สบายกายไม่สบายใจไปเลย ในทันที และหากความโกรธนี้ได้รับการสั่งสม มากเข้า ๆ จะประทับไว้ในจิต จนกลายเป็น อุปนิสัยที่โกรธง่ายเกลียดง่ายด้วยแล้ว ในทางตันตระกล่าวกันว่า ความโกรธความเกลียดชังนี้ จะสั่งสมจนนำไปสู่ความทุกข์ทรมาณถึงชีวิตหน้าเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความโกรธ ความเกลียดชัง เป็นความชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่ต่อการพัฒนาทาง จิตวิญญาณของตัวเรา แต่มิได้หมายความว่ามันจะมีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะขจัดมัน ไปได้ ดังนั้น อาจารย์ศานติเทวะจึงสั่งสอนไว้ว่า ให้เพียรปฏิบัติความอดทนเพื่อการสร้างสม บารมี โดยเริ่มปฏิบัติด้วยความอดทนต่อ สิ่ง เล็กๆ น้อยๆ ก่อน จากนั้นค่อย ๆ ขยายความ อดทน อดกลั้นต่ออุปสรรคหรือความทุกข์ยากใด ๆ ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยวิธีนี้จะค่อยพัฒนาตัวเรา ต่อการปฏิบัติเพื่อสร้างสมขันติบารมีที่ยิ่งใหญ่ขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อใดก็ตามที่อุปสรรคหรือความทุกข์ยากบังเกิดขึ้นกับตัวเรา จงอย่าได้ กล่าวโทษผู้อื่น เพราะหากเรามีความมานะพยายามเพื่อความเป็นอิสระไม่ผูกมัดตนอยู่กับประโยชน์ ทางวัตถุ และเกียรติยศ อุปสรรคและความทุกข์ยากเหล่านั้นก็เหมือนดั่งประตูที่เปิดใหเราได้ ฝึกฝนสู่ภาคปฏิบัติโดยแท้ เพราะโดยปกติแล้วยามใดก็ตามที่มีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นในชีวิต ผู้คนส่วนใหญ่มักจะไม่ยอมมองย้อนว่าปัญหาหรือความผิดพลาดเหล่านั้น เกิดจากตนเองแต่มัก จะโยน ปัญหาหรือความผิดพลาดเหล่านั้นให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ย่อมนำมาซึ่ง ความโกรธ ความเกลียดชัง และสถานะการณ์เลวที่ร้ายลงยิ่งขึ้น ไปอีก แต่หากลองตั้งสติแล้ว มองย้อนไปใหม่ว่า สิ่งเหล่านั้นคือปัจจัยแห่งความอดทน เพราะเมื่อใดที่เกิดความท้อแท้ใจ ความหยิ่งยโสยึดมั่นในอัตตาตัวตนก็จะมลายไปด้วย แต่หากเราล้มเหลวที่จะอดทนต่อภาวะที่ ไม่พึงปรารถนา ก็เท่ากับว่าตัวเราเองเท่านั้นที่เป็นผู้ขัดขวางตนเอง ที่จะปฏิบัติเพื่อการสร้างสม บารมี ที่จะได้รับชัยชนะในการละวางความทุกข์ยากได้ทั้งปวง

บทที่ ประโยชน์แห่งโพธิจิต

July 25, 2019 shantideva 0

ในบทแรกนี้อาจารย์ศานติเทวะได้กล่าวถึงคุณค่าของการได้เกิดมามีชีวิตเป็นมนุษย์ และเราควรใช้ชีวิต ของการเป็นมนุษย์นี้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมที่สุดพร้อมกันนั้นที่ได้เริ่มเกริ่นนำถึงโพธิจิต(Bodhichitta) อรรถกถากล่าวไว้ว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะสมบูรณ์ครบถ้วนนั้น เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง นัก ดังนั้น ในเมื่อเวลานี้เราต่างพากันโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เราที่ควรจะใช้ชีวิต ใช้ร่างกายที่เป็นมนุษย์ ให้เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสมอย่างคุ้มค่าที่สุด เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีโอกาสได้กลับมาเกิด เป็นมนุษย์อีกครั้ง และที่สำคัญเมื่อเป็นมนุษย์แล้วโอกาสที่จะใช้ร่างกายนี้ไปกระทำความชั่วที่มีอยู่ตลอด เวลา จนกระทั่งโอกาสที่คิดจะกระทำดีที่ดูน้อยลงไปยิ่งนักหากไม่มีสติรู้เท่าทัน แต่บางครั้ง เราก็มีความคิดที่ดี ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากความกรุณาขององค์พระพุทธเจ้าที่ คอยอำนวยอวยพร หรืออาจจะเป็นผลแห่งกรรมดีที่เราเคยสั่งสมมา แต่ความคิดดีงามเช่นนี้ บ่อยครั้ง ที่เปรียบได้กับค่ำคืนอันมืดมิดที่ไร้แม้แสงจันทร์แสงดาว ทันใดนั้นก็เกิดฟ้าแลบให้เราได้เห็นความจริง ของสรรพสิ่งเพียงชั่ววินาทีเดียว จากนั้นก็คืนสู่ความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตในแต่ละวันของเราที่เปรียบ ได้ดุจเดียวกัน อกุศลนั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอ จนพลังแห่งคุณธรรมในตัวเรานั้นมันอ่อนแอยากที่ จะเกิด ดุจเดียวกับแสงแห่งสายฟ้าแลบที่จะเกิดขึ้นเพียงชั่ววินาทีเดียว แต่ยามใดที่คุณธรรมในตัวเรายังเกิดขึ้นเราต้องหล่อหลอมพลังแห่งคุณธรรมเข้ากับทุกขณะจิตของควาคิดและการกระทำ นี่แหละคือจุดเปลี่ยนแห่งชีวิตของเราเอง พลังอกุศลกรรมนั้นยิ่งใหญ่จนยากที่เราจะขจัด เพราะตัวเราเองเป็นผู้สั่งสมมันมานานแสนนาน ขณะที่กุศลกรรมนั้นเรากลับสั่งสมไว้เพียงให้มีพลังปรากฎ ดุจสายฟ้าแลบในชั่วขณะเดียว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะขจัดพลังอกุศลกรรมนั้นได้ อย่างไรก็ตามด้วยความเมตตาและปัญญาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงสั่งสอนเราถึงวิธี การเอาชนะพลังอกุศล ด้วยการสร้างสรรค์โพธิจิตอันสมบูรณ์ที่จะเพียรและยึดมั่นในการตรัสรู้ เพราะนอก จากโพธิจิตอันสมบูรณ์แล้วยากที่จะมีพลังคุณธรรมอื่นใดที่จะเอาชนะพลังแห่งอกุศลที่สั่งสมมานานแสน นานได้ เปรียบได้กับการพยายามที่จะจุดไฟเผาพุ่มไม้ที่กองทับถมสูงเท่าภูเขาด้วยเพียงแค่ไม้ขีดไฟหยิบมือ เดียว พลังแห่งโพธิจิตนั้นล้ำลึกเพราะด้วยโพธิจิตนี้เองที่สามารถแปรเปลี่ยนเราผู้เป็นมนุษย์ธรรมดาสู่การเป็น ผู้ตรัสรู้ แปรเปลี่ยนกายเนื้อของมนุษย์สู่กายแห่งพุทธะที่ไม่มีพลังคุณธรรมอื่นใดจะเทียมเท่า อาจได้เปรียบ กว่าคุณธรรมอื่น ๆ ที่สั่งสมนั้นที่เป็นเพียงต้นกล้วยที่เมื่อให้ผลแล้วจักต้องตายจากไป แต่พฤกษาแห่ง โพธิจิตนั้นจักผลิดอกออกผลไม่รู้จบตลอดไป โพธิจิตมีอยู่ 2 นัย คือ โพธิจิตที่ยึดมั่นในการตรัสรู้ ( Aspirig Bodhichitta ) และโพธิจิตที่เพียรเพื่อการตรัสรู้ ( Engaging Bodhichitta ) โพธิจิตที่ยึดมั่นในการตรัสรู้เปรียบได้กับเมื่อเราต้องการที่จะเดินทางไปอเมริกา อันดับแรกเรามีความตั้งใจที่จะไป จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะไป การตัดสินใจที่จะไปนี่เองคือโพธิจิตที่ยึดมั่น ในการตรัสรู้ ในทางปฏิบัติก็คือการตั้งปณิธาน ” เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ข้า ขอตั้งมั่นสู่การรู้แจ้ง ” โพธิจิตที่ยึดมั่นในการตรัสรู้ ( Aspirig Bodhichitta ) ก็เหมือนกับเราตัดสินใจแล้วที่จะไป เราชื้อตั๋วเครื่องบิน และขึ้นเครื่องเพื่อออกเดินทางและจากจุดนี้เองที่โพธิจิตที่เพียรเพื่อการตรัสรู้( Engaging Bodhichitta) เริ่ม ทำงานเมื่อการเดินทางเกิดขึ้นจริง ๆ ขณะที่เครื่องบินบินสู่จุดหมายนั้น เราก็เข้าไกล้การตรัสรู้มากขึ้น ๆ ทุก ที ตลอดเส้นทางสายการปฏิบัตินั้น เราจะค่อย ๆ สั่งสม คุณธรรมและปัญญา พร้อม ๆ กับ ขจัดพลังอกุศล จนกระทั่งได้ถึงจุดหมายปลายทางคือการบรรลุซึ่งการตรัสรู้นั่นเอง เกมส์ยิงปลา

ปัญญากับบารมีหก

July 24, 2019 shantideva 0

บารมีประการสุดท้ายที่กุงกาซังโปริมโปเชได้บรรยายไว้คือปัญญาบารมี หรือในภาษาสันสกฤตว่า “ปรัชญาปารมิตา” ปัญญาบารมีเป็นขั้นสุดท้ายของบารมีทั้งหกของพระโพธิสัตว์ และก็เป็นขั้นตอนที่ทำให้การบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเป็นไปได้ อาจกล่าวได้ว่าบารมีห้าประการแรก ได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ และสมาธิ เป็นขั้นตอนที่นำไปสู่การบรรลุบารมีที่หกนี้ ดังนั้นในแง่นี้ปัญญาบารมีจึงถือได้ว่าเป็นบารมีที่สำคัญที่สุดของพระโพธิสัตว์ อย่างไรก็ตามหากไม่มีบารมีที่มาก่อนทั้งห้า ปัญญาบารมีก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ด้วยเหตุนี้บารมีทั้งหกจึงมีสถานะเท่าเทียมกัน เนื่องจากไม่อาจขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้ แต่ถึงกระนั้้นปัญญาบารมีก็ยังมีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะเป็นแก่นแท้ของการบรรลุธรรม ปัญญาบารมีได้แก่การรู้แจ้งเห็นจริงถึงสภาวธรรมตามที่เป็นอยู่จริงๆ และหัวใจของการรู้แจ้งนี้ก็คือการมองเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนเป็น “ของว่าง” หรือ “ศูนยตา” คำว่า “ศูนยตา” (หรือเขียนว่า “สุญญตา” ในภาษาบาลี) ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจและการตีความที่ไม่ถูกต้องเป็นอันมาก บางคนเข้าใจไปว่าอะไรที่เป็นของว่างก็คือไม่มีอะไรเลย สูญไปหมด ไม่เหลืออะไรไว้ ความคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง การเป็น “ของว่าง” ไม่ได้หมายความว่าของต่างๆล่องหนไปแบบถูกเสกโดยนักมายากล บางคนก็คิดว่าการเป็น “ของว่าง” หรือ “ศูนยตา” นี้เป็นสภาวะในระดับหนึ่งที่แยกออกจากโลกธรรมชาติที่เรามองเห็นรับรู้อยู่ เช่นมีสวรรค์ของศูนยตาที่บรรดาของว่างทั้งหลายไปรวมกันอยู่ แล้วคนที่เข้าถึงศูนยตาได้ก็คือคนที่ได้รับสิทธิให้เข้าไปท่องเที่ยวในสวรรค์แห่งนี้ ความคิดนี้ยิ่งเตลิดเปิดเปิงเข้าไปใหญ่ แท้จริงแล้วศูนยตาไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลตัวจากเรา แต่อยู่ที่นี่ เวลานี้ อยู่กับตัวเราทุกเวลานาที เพียงแต่ว่าเราไม่ได้สนใจที่จะไปรับรู้ศูนยตานี้ ก็เลยคิดไปว่าอยู่ไกลไปจากเรามาก จะว่าไปศูนยตาก็ไม่ต่างอะไรจากสิ่งต่างๆในโลกธรรมชาติที่เราเห็นอยู่ทุกวัน ของพื้นฐานต่างๆเช่นโต๊ะ เก้าอี้ ก็เป็น “ของว่าง” หรือจะพูดให้ถูกก็น่าจะบอกว่าเป็น “ความว่าง” เพราะการเป็น “ของว่าง” เท่ากับมีของอยู่ แล้วของนั้นมีคุณสมบัติว่าง แต่ความเป็นศูนยตาหมายถึงว่า ไม่มีของอะไรเลยที่อยู่เป็นแก่นสาร ดังนั้นจึงไม่มี “ของ” อะไรให้ “ว่าง” แต่การพูดเช่นนี้ก็ต้องระวังว่าไม่ใช่การยืนยันว่าจริงๆแล้วไม่มีอะไรเลย โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ ต่างก็มีอยู่จริง เพียงแต่ว่ามันไม่มีมีอยู่จริง จริงๆ เท่านั้นเอง การที่โต๊ะเก้าอี้มีอยู่จริงในระดับหนึ่ง แต่ไม่มีอยู่จริงจริงๆ เป็นตัวอย่างของ “ความจริงสองระดับ” ที่กุงกาซังโปริมโปเชพูดถึงในการบรรยายเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ความจริงสองระดับนี้ได้แก่ความจริงขั้นสูง (“ปรมัตถสัจจะ”) กับความจริงพื้นๆหรือความจริงธรรมดา (“สมมติสัจจะ”) ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่ว่าความจริงขั้นสูงจะแยกตัวออกไปเป็นอีกโลกหนึ่ง โต๊ะเก้าอี้ก็เป็นทั้งความจริงขั้นสูงและความจริงธรรมดาไปด้วยในเวลาเดียวกัน ทั้งโต๊ะกับเก้าอี้ต่างก็ไม่ได้มีความเป็นแก่นแท้ของตัวเอง หมายความว่าโต๊ะตัวนี้ไม่ได้เป็นโต๊ะมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่เพิ่งมาเป็นโต๊ะเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อไม้ท่อนนี้ถูกเปลี่ยนรูปในเป็นโต๊ะในโรงงาน เก้าอี้ตัวนี้ก็เช่นเดียวกัน และเราก็เข้าใจว่าในอนาคตอีกไม่นาน ทั้งโต๊ะกับเก้าอี้ตัวนี้ก็จะไม่มีอยู่ ถ้าไม่ถูกขายทอดตลาดเป็นขยะ ก็อาจจะถูกไฟเผา หรือพังทลายสูญสลายไปด้วยวิธีอื่น ดังนั้นที่มันเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้อยู่ได้ ก็เพราะเราไปมองมันแล้วก็ไปยึดถือว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่ในระดับของความจริงสมมติ โต๊ะเก้าอี้ก็มีความเป็นจริงแบบเดียวกับสิ่งอื่นๆที่อยู่ในสถานะเดียวกัน ความจริงสมมติหรือความจริงธรรมดา ก็คือความจริงที่เราคุ้นเคยอยู่เป็นอย่างดี โต๊ะกับเก้าอี้ในระดับความจริงธรรมดานี้ ก็คือโต๊ะกับเก้าอี้ตามปกตินั่นเอง ความจริงสองระดับนี้แท้จริงแล้วเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือโต๊ะกับเก้าอี้เป็นทั้งตัวมันตามที่ปรากฏ และเป็นความว่างไปด้วยในขณะเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ความว่างหรือศูนยตาที่สามารถกำจัดอวิชชาได้นั้น จะต้องเป็นปัญญาที่มาจากการทำสมาธิและประกอบด้วยการเห็นความจริงตามที่เป็นอยู่จริงๆ การเห็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการคิดตามหลึกของตรรกวิทยาเท่านั้น คนบางคนอาจมีความสามารถในการคิดตามหลักเหตุผลหรือตรรกวิทยาเป็นอย่างมาก เขาอาจอธิบายเรื่องความว่างได้เป็นคุ้งเป็นแคว แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำสมาธิแลไม่ได้เห็นความว่างด้วยจิตอันสงบเป็นสมาธิ ก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเขาเข้าถึงปัญญาบารมีจริงๆ เรื่องนี้เปรียบได้กับการว่ายน้ำ คนที่ว่ายน้ำเป็นจะทราบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างการลงไปว่ายน้ำให้น้ำสัมผัสตัวจริงๆ กับการพูดถึงการว่ายน้ำในเชิงทฤษฎีแต่ไม่ได้ลงไปว่าย ในทำนองเดียวกันการอธิบายความว่างหรือศูนยตาตามหลักของเหตุผล กับการมีประสบการณ์ตรงหรือการเห็นความว่างโดยตรงก็แตกต่างในแบบเดียวกัน

ต้องการให้บุญส่งผลเร็ว

July 23, 2019 shantideva 0

ถ้าต้องการให้บุญส่งผลเร็ว ให้เร่งในส่วนของ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของ สมาธิจะเห็นผลไวที่สุด เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ถาม : ปกตินั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง เขาเรียกว่าได้ผลไหมครับ ? ตอบ : สำคัญตรงที่สมาธิทรงตัวไหม ? ระยะเวลาไม่เกี่ยว ถ้าสมาธิทรงตัว ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้บุญมหาศาล ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวนั่งไป ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงก็แค่นั้นแหละ ถาม : ถ้านั่ง ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้ แต่บางท่านบอกนั่งชั่วโมงครึ่ง เดินชั่วโมงครึ่ง ? ตอบ : ท่านหมายถึงว่าทำอย่างไรจะให้ใจทรงตัว แรก ๆ ก็จะฟุ้งซ่าน ยื้อระยะเวลาไปหน่อย พอจิตเหนื่อยก็จะนิ่งแล้วเริ่มทรงตัว ก็เลยต้องใช้เวลานิดหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้ว ท่านบอกว่าสมาธิ ทำแค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น คือแวบเดียวเท่านั้น อย่างน้อย ๆ ผลบุญที่ทำก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราต่อไปภายหน้าได้ ถาม : ปัจจัยนี้ส่งผลข้ามชาติได้ ? ตอบ : ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ถาม : การนั่งสมาธิในรถยนต์ที่จอดอยู่ประมาณ ๒-๔ นาทีต่อวัน ในช่วงเช้า โดยที่จิตสงบ เราจะได้บุญเพียงพอที่จะอุทิศให้ใครไหมคะ ? ตอบ : โอ้พระเจ้า..มหาศาลเลย อานิสงส์แค่ช้างกระดิกหูหรือแค่งูแลบลิ้น ท่านบอกว่ายังเป็นปัจจัยให้เข้าสู่พระนิพพานได้ในอนาคต นั่นตั้ง ๒-๔ นาทีแถมยังใจสงบด้วย ต้องบอกว่าได้เยอะมาก ๆ ฉะนั้น..รีบอุทิศไปเถอะ เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ กำลังใจที่มุ่งตรงต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระอริยสงฆ์ มีอานิสงส์มหาศาลจนคาดไม่ถึง ตัวอย่างในพระไตรปิฏกมีมากต่อมากด้วยกัน ระลึกถึงแม้ชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ปรากฏว่าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ ถามว่าทำไมถึงมีอานิสงส์มากขนาดนั้น ? อานิสงส์ที่มากเพราะว่าคนอื่นมีน้อย แปลว่าอะไร ? ถ้าหากเปรียบเทียบกับบุคคลที่มีกำลังใจมืดบอด กำลังใจต่ำ ย่อมห่างจากบุคคลที่มีกำลังใจผ่องใส กำลังใจสูง ยิ่งกำลังใจสูงต่ำกันมากเท่าไร ระดับของความห่างก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อวัดไปถึงระดับจอมอรหันต์อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงห่างกันจนยากที่จะประมาณได้ เมื่อเราทำความดีต่อท่านทั้งหลายเหล่านี้ ต่อพระพุทธเจ้าก็ดี ต่อพระธรรมก็ดี ต่อพระอริยสงฆ์ก็ดี จึงได้มีผลานิสงส์มากมหาศาลจนประมาณไม่ได้ เพราะว่าระดับห่างกันเหลือเกิน เราทำบุญกับเดรัจฉาน ๑ ครั้งมีผลเป็น ๑๐๐ แต่ว่าเราทำบุญกับบุคคลที่ทุศีล ยังมีผลมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเป็น ๑๐๐ เท่า ก็แปลว่ามีอานิสงส์เป็น ๑๐,๐๐๐ ทำบุญกับบุคคลที่ทุศีล สู้บุคคลที่มีศีลแล้วทำศีลบกพร่องไม่ได้ ห่างกันเป็น ๑๐๐ เท่าอีก ก็แปลว่า ใส่ไปอีก ๒ ศูนย์ เป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ แล้ว ทำบุญกับสัตว์เดรัจฉานเป็น ๑,๐๐๐,๐๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับทำบุญกับบุคคลที่ศีลขาด ๑ ครั้ง ระดับที่ขาดมากกับดีมาก จะยิ่งต่างกันไปเรื่อย ๆ ดังนั้น…ผลานิสงส์จึงมากมายมหาศาลไปด้วย ขอให้ทุกคนตั้งจิตตั้งใจ ด้วยความเลื่อมใสในคุณพระศรีรัตนตรัย ตั้งใจถวายดอกไม้ ธูปเทียนของเรา เป็นพุทธบูชา พวกเรามากราบพระ ไหว้พระ บูชาพระ ไปพร้อม ๆ กัน เกมส์ยิงปลา

วิถีชีวิตของพระโพธิสัตว์-ท่านศานติเทวะ

July 22, 2019 shantideva 0

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐผู้เลิศยิ่ง ผู้หาใครเสมอเสมือนมิได้ ขอบูชาพระธรรมเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์นำความสุขมาให้ ขอบูชาพระมหาโพธิสัตว์เจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมและกรุณาธรรมทั้งปวง ขอบูชาพระอริยสงฆเจ้าผู้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง ขอบูชาคุณบิดาและมารดาผู้ทรงคุณอันประเสริฐทั้งหมดทั้งสิ้น ขอบูชาคุณคุรุผู้ประเสริฐ ผู้ประสิทธิประสาทวิชาทั้งทางโลกและทางธรรม ขอบูชาพระโพธิธรรมทั้งสิบประการอันมี ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี ขอบูชาพระโพธิญานอันเป็นที่สุดแห่งชีวิตนี้ ข้าพเจ้าขออนุญาติต่อคุรุทั้งปวง ขอกราบกรานเหล่าดวงจิตอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในการกระทำในครั้งนี้ โปรดช่วยดลบรรดาลจิตนี้ของข้าพเจ้าให้รู้หนทางอันเป็นไปตามธรรมอันถูกต้องด้วยเทอญ และเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้ากระทำสิ่งใดไม่ถูกต้องด้วยกาย วาจา และใจนี้ ขอท่านผู้รู้ทั้งหลายได้โปรดแก้ไขและชักนำข้าพเจ้ากลับสู่หนทาง เพื่อการหลุดพ้นแห่งสรรพสัตว์ด้วยเทอญ

คัมภีร์โพธิจรรยาวตาร

July 21, 2019 shantideva 0

ตอนนี้ผมเรียบเรียง คัมภีร์โพธิจรรยาวตาร เนื้อหาประกอบด้วย ๑๐ ปริเฉทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภายในจะมีเนื้อหา แบ่งเป็นในแต่ละปริเฉท ซึ่งจะมีบทปริวรรตภาษาสันสกฤตเป็นอักษรไทย 2 แบบ และมีเสียงประกอบให้อ่านตามได้ ส่วนล่างสุดจะเป็นบทแปลครับ เหมาะสำหรับผู้สนใจทั้งคัมภีร์ศาสนา, การออกเสียงภาษาสันสกฤต, และฉันทลักษณ์สันสกฤต คัมภีร์โพธิจรรยาวตารเป็นบทประพันธ์อันมีชื่อเสียงของท่านศานติเทวะ ผู้เป็นพระอาจารย์จากมหาวิทยาลัยนาลันทาเมื่อประมาณคริสตศตวรรษที่ 8 เนื้อหาประกอบด้วย ๑๐ ปริเฉท มีจํานวนโศลกทั้งสิ้น 913 โศลก ในการประพันธ์ได้ใช้ฉันทลักษณ์11 ชนิด คัมภีร์โพธิจรรยาวตาร เป็นคัมภีร์สําคัญของพระพุทธศาสนามหายานนิกายมาธยมิก ที่กล่าวถึงแนวทางปฏิบัติเพื่อการตรัสรู้ หรือหลักการดําเนินชีวิตของพระโพธิสัตว์ เป็นคัมภีร์ที่ประมวลไว้ซึ่งหลักคําสอนอันครอบคลุมแนวความคิดสําคัญทั้ง 3 ด้านของพระพุทธศาสนามหายานคือ แนวความคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ แนวความคิดเรื่องปรัชญาศูนยตาและแนวความคิด เรื่องพุทธภักติ อันมีเนื้อหาสาระส่วนใหญ่มุ่งอธิบายถึงหลักการปฏิบัติตนของพระโพธิสัตว์เป็นสําคัญ ต้นฉบับภาษาสันสกฤต อักษรเทวนาครีจากโครงการ DSBC ปริวรรตเป็นไทยโดยโปรแกรมไทย-สันสคริปท์ เสียงจากโครงการ Bodhisvara ในส่วนคำแปลนั้น ได้รับอนุญาตจากผู้แปลคือ พระมหาวิชาญ กำเหนิดกลับ ในปริเฉทที่ ๕ ท่านศานติเทวะ อธิบายถึง การรักษาซึ่งสติสัมปชัญญะ การปฏิบัติตนตามวิถีแห่งพระโพธิสัตว์ หากมิอาจรักษาจิตให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวได้แล้ว ย่อมไม่อาจรักษาโพธิจิตได้ และตกอยู่ในความประมาท ก็ย่อมเป็นการง่ายที่จะก่ออกุศล และก้าวเดินไปหนทางที่ผิด ต้นฉบับจากโครงการ DSBC เสียงจากโครงการ Bodhisvara แปลโดย พระมหาวิชาญ กำเหนิดกลับ ปริวรรตเป็นไทยโดยโปรแกรมไทย-สันสคริปท์ ภายในจะมีเนื้อหา,พระมหาวิชาญ,กำเหนิดกลับ เกมส์ยิงปลา

บทที่ ๑ ประโยชน์แห่งโพธิจิต

July 20, 2019 shantideva 0

ในบทแรกนี้อาจารย์ศานติเทวะได้กล่าวถึงคุณค่าของการได้เกิดมามีชีวิตเป็นมนุษย์ และเราควรใช้ชีวิต ของการเป็นมนุษย์นี้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมที่สุดพร้อมกันนั้นที่ได้เริ่มเกริ่นนำถึงโพธิจิต(Bodhichitta) อรรถกถากล่าวไว้ว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะสมบูรณ์ครบถ้วนนั้น เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง นัก ดังนั้น ในเมื่อเวลานี้เราต่างพากันโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เราที่ควรจะใช้ชีวิต ใช้ร่างกายที่เป็นมนุษย์ ให้เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสมอย่างคุ้มค่าที่สุด เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีโอกาสได้กลับมาเกิด เป็นมนุษย์อีกครั้ง และที่สำคัญเมื่อเป็นมนุษย์แล้วโอกาสที่จะใช้ร่างกายนี้ไปกระทำความชั่วที่มีอยู่ตลอด เวลา จนกระทั่งโอกาสที่คิดจะกระทำดีที่ดูน้อยลงไปยิ่งนักหากไม่มีสติรู้เท่าทัน แต่บางครั้ง เราก็มีความคิดที่ดี ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากความกรุณาขององค์พระพุทธเจ้าที่ คอยอำนวยอวยพร หรืออาจจะเป็นผลแห่งกรรมดีที่เราเคยสั่งสมมา แต่ความคิดดีงามเช่นนี้ บ่อยครั้ง ที่เปรียบได้กับค่ำคืนอันมืดมิดที่ไร้แม้แสงจันทร์แสงดาว ทันใดนั้นก็เกิดฟ้าแลบให้เราได้เห็นความจริง ของสรรพสิ่งเพียงชั่ววินาทีเดียว จากนั้นก็คืนสู่ความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง ชีวิตในแต่ละวันของเราที่เปรียบ ได้ดุจเดียวกัน อกุศลนั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอ จนพลังแห่งคุณธรรมในตัวเรานั้นมันอ่อนแอยากที่ จะเกิด ดุจเดียวกับแสงแห่งสายฟ้าแลบที่จะเกิดขึ้นเพียงชั่ววินาทีเดียว แต่ยามใดที่คุณธรรมในตัวเรายังเกิดขึ้นเราต้องหล่อหลอมพลังแห่งคุณธรรมเข้ากับทุกขณะจิตของควาคิดและการกระทำ นี่แหละคือจุดเปลี่ยนแห่งชีวิตของเราเอง พลังอกุศลกรรมนั้นยิ่งใหญ่จนยากที่เราจะขจัด เพราะตัวเราเองเป็นผู้สั่งสมมันมานานแสนนาน ขณะที่กุศลกรรมนั้นเรากลับสั่งสมไว้เพียงให้มีพลังปรากฎ ดุจสายฟ้าแลบในชั่วขณะเดียว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะขจัดพลังอกุศลกรรมนั้นได้ อย่างไรก็ตามด้วยความเมตตาและปัญญาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงสั่งสอนเราถึงวิธี การเอาชนะพลังอกุศล ด้วยการสร้างสรรค์โพธิจิตอันสมบูรณ์ที่จะเพียรและยึดมั่นในการตรัสรู้ เพราะนอก จากโพธิจิตอันสมบูรณ์แล้วยากที่จะมีพลังคุณธรรมอื่นใดที่จะเอาชนะพลังแห่งอกุศลที่สั่งสมมานานแสน นานได้ เปรียบได้กับการพยายามที่จะจุดไฟเผาพุ่มไม้ที่กองทับถมสูงเท่าภูเขาด้วยเพียงแค่ไม้ขีดไฟหยิบมือ เดียว พลังแห่งโพธิจิตนั้นล้ำลึกเพราะด้วยโพธิจิตนี้เองที่สามารถแปรเปลี่ยนเราผู้เป็นมนุษย์ธรรมดาสู่การเป็น ผู้ตรัสรู้ แปรเปลี่ยนกายเนื้อของมนุษย์สู่กายแห่งพุทธะที่ไม่มีพลังคุณธรรมอื่นใดจะเทียมเท่า อาจได้เปรียบ กว่าคุณธรรมอื่น ๆ ที่สั่งสมนั้นที่เป็นเพียงต้นกล้วยที่เมื่อให้ผลแล้วจักต้องตายจากไป แต่พฤกษาแห่ง โพธิจิตนั้นจักผลิดอกออกผลไม่รู้จบตลอดไป โพธิจิตมีอยู่ 2 นัย คือ โพธิจิตที่ยึดมั่นในการตรัสรู้ ( Aspirig Bodhichitta ) และโพธิจิตที่เพียรเพื่อการตรัสรู้ ( Engaging Bodhichitta ) โพธิจิตที่ยึดมั่นในการตรัสรู้เปรียบได้กับเมื่อเราต้องการที่จะเดินทางไปอเมริกา อันดับแรกเรามีความตั้งใจที่จะไป จากนั้นก็ตัดสินใจที่จะไป การตัดสินใจที่จะไปนี่เองคือโพธิจิตที่ยึดมั่น ในการตรัสรู้ ในทางปฏิบัติก็คือการตั้งปณิธาน ” เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ข้า ขอตั้งมั่นสู่การรู้แจ้ง ” โพธิจิตที่ยึดมั่นในการตรัสรู้ ( Aspirig Bodhichitta ) ก็เหมือนกับเราตัดสินใจแล้วที่จะไป เราชื้อตั๋วเครื่องบิน และขึ้นเครื่องเพื่อออกเดินทางและจากจุดนี้เองที่โพธิจิตที่เพียรเพื่อการตรัสรู้( Engaging Bodhichitta) เริ่ม ทำงานเมื่อการเดินทางเกิดขึ้นจริง ๆ ขณะที่เครื่องบินบินสู่จุดหมายนั้น เราก็เข้าไกล้การตรัสรู้มากขึ้น ๆ ทุก ที ตลอดเส้นทางสายการปฏิบัตินั้น เราจะค่อย ๆ สั่งสม คุณธรรมและปัญญา พร้อม ๆ กับ ขจัดพลังอกุศล จนกระทั่งได้ถึงจุดหมายปลายทางคือการบรรลุซึ่งการตรัสรู้นั่นเอง

July 19, 2019 shantideva 0

พระศิวะ พระศิวะหรือพระอิศวร (สันสกฤต: शिव; อังกฤษ: พระอิศวร) หนึ่งในตรีมูรติหรือเทพเจ้าสูงสุดสามองค์ (ตรีเทพ) ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู (อีกสององค์และพระวิษณุ) พระศิวะ พระศิวะทรงมีรูปทรงเป็นชายหนุ่มร่างกำพร้าวรรณะขาว (สีผิวขาว) นารายณ์หนังเสือเหมือนฤๅษีมีสัมพันธวาล์เป็นลูกประคำหรือแพทย์มนุษย์มีงูเห่า เป็นจุฑา (มวยผม) มีพระจันทร์เป็นปิ่นและแม่คงคาอยู่บนยอดจุฑายอมรับการพ่นน้ำออกมาและมีพระจันทร์ที่สาม (ตาที่ 3)พระศิวะ โดยปกติจะปิดเชื่อเสมอว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่มีการกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญพลังงานทดแทนเพื่อโลกใบใหม่ที่จะทำลายโลกใบใหม่ โคนนทิ ทรงมีพระธรรมคือโคนนทิ (พระมหาบุรุษผู้มีสีขาวล้วน) พระมหากษัตริย์มีพระปรมาภิไธย 2 องค์คือพระมหาท้าวมหาพรหมและพระพิฆเนศ แม่คงคามีธิดาคือพระแม่มนสาเทวีหรือพระยามี พระศิวะ -01 พระศิวะมีความยินดีที่จะแสดงความเคารพต่อระบอบการปกครองของเทพเจ้ากรีก “ปางนาฏราช” ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง จนกระทั่งปัจจุบัน นอกจากนี้พระศิวะยังถือว่าเป็นเจ้าแห่งผีหรือปีศาจอีกด้วยโดยมีพระนามเรียกว่า “ปีศาจบดี” หรือ “ภูเตศวร” และมีพระนามอื่นอีกเช่น “รุต”, “ศขกร”, “ศขี”, “ศกัฐ์” “,” หระ “หรือ” อีสาน “และยังเป็นเทพประจำตะวันออกตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสานอีกด้วย พระศิวะกลืนพิษ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า พระศิวะของพระศิวะมีสีดำ แบบเทมเพสที่ได้รับการค้นพบครั้งแล้วครั้งเล่าในคัมภีร์กุรอ่านศาสนาคริสต์ที่ได้รับอนุญาต สีของความรักไม่ว่าจะเป็นสีดำ ในความเชื่อแบบศรีลังกาแล้วเชื่อว่าพระศิวะมีการสอนศาสนาเป็นรูปมงกุฎและเทพเจ้าไซเบอร์รูปปกปักษ์รักษาพระพุทธศาสนาสดงเจตนารมณ์ว่าจะย้ายไปซบ ยูเวนตุส สถานเดียว ซึ่ง “เบียงโคเนรี่” ก็พร้อมที่จะขอซื้อหนแรกด้วยเงินราว 40 ล้านยูโร เมาโร อีการ์ดี้ กองหน้า อินเตอร์ มิลาน สโมสรชั้นนำแห่งวงการ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ต้องการย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส เท่านั้นในช่วงซัมเมอร์นี้ ตามรายงานของ กัลโช่แมร์คาโต้ สื่อกีฬาของเมืองมะกะโรนี ปัญหาระหว่าง อีการ์ดี้ กับ อินเตอร์ เกิดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์โดนทีมตัดชื่อออกจากกลุ่มที่จะไปทัวร์ช่วงปรี-ซีซั่น ที่ทวีปเอเชีย โดยถึงแม้มันจะเกิดจากการตัดสินใจร่วมกันของทุกฝ่าย แต่ว่ากันว่าเรื่องในครั้งนี้ทำใหแข้งวัย 26 ปีโมโหสุดๆ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวลือว่า อีการ์ดี้ พร้อมที่จะเอาคืนต้นสังกัดด้วยการอยู่กับทีมไปจนหมดสัญญาในอีก 2 ปีข้างหน้า จนส่งผลกับการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ของ อินเตอร์ ไปด้วย แต่ล่าสุด กัลโช่แมร์คาโต้ เผยว่าที่จริงแล้ว อีการ์ดี้ พร้อมที่จะบอกลาทีมก่อนเปิดฤดูกาล 2019-20 เพียงแต่ ยูเวนตุส คือทีมเดียวที่เขาจะยอมไปอยู่ด้วย สื่อเจ้าเดิมเสริมว่า วานด้า นาร่า ภรรยาและเอเยนต์ของ อีการ์ดี้ กับ ฟาบิโอ ปาราติชี่ ผู้อำนวยการกีฬาของ ยูเวนตุส เจรจากันอยู่เรื่อยๆ โดยครั้งล่าสุดก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่ง “เบียงโคเนรี่” รู้ดีว่า อีการ์ดี้ อยากมาอยู่กับพวกเขามากๆ และพร้อมที่จะยื่นข้อเสนอขอซื้อเขาครั้งแรกด้วยเงินราว 40 ล้านยูโร (ประมาณ 1,440 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ยูเวนตุส ก็จำเป็นต้องโละกองหน้าบางคนให้ได้ก่อน ซึ่งทั้ง มาริโอ มานด์ซูคิช, กอนซาโล่ อิกวาอิน และ มอยเซ่ เคน ต่างก็มีสิทธิ์โดนขายพอๆ กัน เกมส์ยิงปลา