ปัญญาบารมี

ในโพสที่แล้วเราพูดกันเกี่ยวกับการบรรยายธรรมของกุงกาซังโปริมโปเช เรื่องปัญญากับบารมีหกประการของพระโพธิสัตว์ ปรากฏว่าเป็นที่สนใจของหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวต่างประเทศซึ่งได้ขอให้เขียนบทความต่างๆนี้ใหม่เป็นภาษาอังกฤษ ผมก็จะทำตามนั้น แต่คงหลังจากโพสเรื่องนี้เสร็จสักระยะหนึ่ง คาสิโนออนไลน์

ริมโปเชได้พูดถึง “ปัญญาในบารมีหกประการ” ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติบารมีหกประการอย่างมีปัญญา ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติก้าวหน้ารวดเร็วบรรลุถึงเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ บารมีหกประการของพระโพธิสัตว์ได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ และปัญญา ในโพสนี้เราก็จะพูดถึงบารมีอีกสี่ประการที่เหลือ

 

ริมโปเชกล่าวว่าขันติบารมีเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ฝึกฝนตนเองในแนวทางของพระโพธิสัตว์ หััวใจของการปฏิบัติตามเส้นทางนี้ก็คือ การมุ่งมั่นบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อให้มีความสามารถเต็มเปี่ยมในการช่วยเหลือสัตว์โลกให้ก้าวข้ามพ้นจากสังสารวัฏเข้าไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง อันได้แก่ฝั่งของพระนิพพาน การมีจิตใจที่มุ่งมั่นเช่นนี้เรียกว่า “โพธิจิต” และเนื่องจากเส้นทางเป็นเช่นนี้ สิ่งสำคัญยิ่งในการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ก้ได้แก่การมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาและกรุณาแก่สรรพสัตว์ การมีจิตใจเช่นนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีการฝึกปฏิบัติขันติบารมี ขันติบารมีได้แก่การที่เราฝึกฝนสั่งสมบ่มเพาะในจิตใจ ซึ่งจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาและไม่ถือโกรธ ไม่มีจิตอาฆาตพยาบาทใดๆแม้แต่น้อยแตสัตว์โลก ไม่ว่าสัตว์โลกนั้นจะมาให้ร้ายหรือทำร้ายเรามากเพียงใดก็ตาม จะเห็นได้ว่าขันติบารมีเป็นแก่นกลางของการปฏิบัติตามแนวทางของพระโพธิสัตว์ก็ว่าได้ ริมโปเชได้กล่าวถึงข้อเขียนของท่านศานติเทวะใน “วิถีชีวิตของพระโพธิสัตว์” ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า อันความโกรธนั้นหากเกิดขึ้นแม้เพียงชั่ววูบเดียว ก็อาจทำลายบุญบารมีที่ตนเองได้สั่งสมมาเป็นเวลาอันนับชาติไม่ถ้วน แต่หากความโกรธวูบเดียวนั้นก็จะเหมือนกับเพลิงที่เผาผลาญบุญบารมีที่ได้สั่งสมมาให้หายไปหมดสิ้นในเวลาชั่วพริบตา

ริมโปเชเล่าว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน ก่อนที่ทิเบตจะแตกแก่จีนไม่นาน มีพระอาจารย์รูปหนึ่งปฏิบัติธรรมจนมองเห็นอนาคตได้ ท่านได้มองเห็นอนาคตอันน่ากลัวที่ทิเบตจะต้องได้รับและก็ได้กล่าวตักเตือนผู้คนถึงภัยคุกคามที่กำลังมาเยือน เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ก็มีคนผู้หนึ่งคนไม่ได้ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าทิเบตจะประสบภัยหายนะอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็เกิดความโกรธเป็นกำลัง และก็ได้ลุกขึ้นมาชกหน้าพระอาจารย์ท่านนี้เข้าอย่างแรง พระอาจารย์มิได้ตอบโต้ใดๆ และก็มิได้มีความรู้โกรธเคืองใดๆ ตรงกันข้ามท่านกลับกล่าวขึ้นว่าท่านได้ปฏิบัติธรรมมาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ไม่มีโอกาสได้ฝึกขันติบารมีอย่างจริงๆจัง เพิ่งมีคราวนี้นี่แหละที่ได้มีโอกาสปฏิบัติบารมีข้อนี้อย่างจริงจัง

การปฏิบัติขันติบารมีมิได้หมายความเพียงแค่ว่า เมื่อมีใครมาทำร้ายเรา เราจะไม่ทำร้ายตอบและข่มความโกรธขึ้นในใจไว้ แต่หมายความว่าเมื่อเกิดอะไรร้ายแรงหรือเจ็บปวดแก่ตัวเรา เราจะรับเอาความเจ็บปวดนั้นไว้ และมองความเจ็บปวดนั้นว่าเป็นครูของเรา ที่มาช่วยเหลือเราให้เดินทางไปบนเส้นทางแห่งโพธิจิตอย่างมั่นคง ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครมาทำร้ายเรา แต่เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงหรือความเจ็บปวดขึ้น เราก็จะไม่เสียใจหรือร้องโวยวายว่าเหตุใดโรคร้ายกับความเจ็บปวดนี้จึงเกิดแก่เรา ทำไมคนอื่นถึงไม่เป็นบ้าง ทำไมต้องมาเป็นเรา การคิดเช่นนี้สวนทางกับการฝึกปฏิบัติขันติบารมีอย่างยิ่ง แทนที่จะคิดว่าทำไมต้องเป็นเราที่เกิดมาเจ็บป่วยตรงนี้ เราก็คิดว่าความเจ็บป่วยและเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำในอดีต ซึ่งสัตว์โลกที่ยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏทุกตัวตนต้องประสบทั้งสิ้น แทนที่เราจะมาเสียใจหรือโกรธเคืองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราน่าจะมองความเจ็บปวดนี้ว่าเป็นบททดสอบที่มาทดสอบว่า เราผ่านการปฏิบัติหัวช้อขันติบารมีหรือยัง การปฏิบัติเช่นนี้ที่ประกอบไปด้วยความเข้าใจแจ้งถึงบทบาทหน้าที่และความสำคัญยิ่งของโพธิจิตและแนวทางของพระโพธิสัตว์ ก็คือการปฏิบัติขันติบารมีด้วยปัญญาอันยิ่งนั่นเอง