เลิกเหล้าเพราะนั่งสมาธิ ธรรมะจากหลวงปู่ดู่ พรหมปญฺโญ

March 30, 2020 shantideva edit 0

หลวงปู่ดู่ พรหมปญโญ เป็นพระมหาเถระที่มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ ไม่จำเพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นบ้านเกิดและที่ตั้งของวัดสะแก อันเป็นสถานพำนักของท่านเท่านั้น ตอนที่ท่านแรกบวช ท่านมิได้ปรารถนามรรคผลนิพพานแต่อย่างใด หากต้องการเรียนรู้วิชาคงกะพันชาตรีและเวทมนตร์ คาถา เพื่อสึกออกไปแก้แค้นโจรที่ปล้นบ้านโยมพ่อโยมแม่ของท่าน ถึงสองครั้งสองครา แต่ต่อมาท่านได้คิด นึกสลดสังเวชใจที่ปล่อยให้ความอาฆาตพยาบาทครอบงำจิตใจนานนับสิบปี ในที่สุดท่านได้ตั้งอโหสิกรรมแก่คนเหล่านั้น แล้วมุ่งเจริญสมณธรรมอย่างจริงจัง ในวัยฉกรรจ์ท่านได้เดินธุดงค์ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดได้มาพำนักที่วัดสะแก นับแต่นั้นก็ได้เป็นที่พึ่งทางใจแก่ญาติโยมมาโดยตลอด ต่อมาราว ๆ ปี พ.ศ. 2490 คือเมื่ออายุได้ 43 ปี ท่านตัดสินใจไม่รับกิจนิมนต์นอกวัด ใครที่ตั้งใจมากราบนมัสการหรือฟังธรรมจากท่าน แม้จะเดินทางไกลเพียงใดก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะเมื่อมาถึงวัดสะแก จะเห็นท่านนั่งรับแขกหน้ากุฏิตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แม้กระทั่งเมื่อท่านชราภาพมากแล้ว มีลูกศิษย์จัดทำป้ายกำหนดเวลารับแขกเพื่อถนอมสุขภาพของท่าน แต่ไม่นานท่านก็ให้นำป้ายออกไป ด้วยความเมตตาที่ท่านมีต่อญาติโยมทัังหลายนั้นเอง ท่านมีวิธีสอนธรรมะแก่ญาติโยมอย่างแยบคาย คราวหนึ่งมีศิษย์มากราบท่านโดยพาเพื่อนซึ่งเป็นนักเลงเหล้าตามมาด้วย เมื่อสนทนากับหลวงปู่ได้พักหนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นได้ชักชวนเพื่อนให้สมาทานศีล 5 พร้อมกับทำสมาธิภาวนา นักเลงเหล้าผู้นั้นแย้งต่อหน้าหลวงปู่ว่า “จะให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ” หลวงปู่ดู่แทนที่จะคาดคั้นหรือคะยั้นคะยอเขา กลับตอบว่า “เอ็งจะกินก็กินไปสิ ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละห้านาทีก็พอ” ชายผู้นั้นเห็นว่านั่งสมาธิแค่วันละห้านาทีไม่ใช่เรื่องยาก จึงรับคำหลวงปู่ นับแต่วันนั้น เขาก็นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอตามที่รับปากเอาไว้ ไม่ขาดแม้แต่วันเดียว บางวันถึงกับงดกินเหล้ากับเพื่อน ๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติพอดี เมื่อได้สัมผัสกับความสงบจากสมาธิภาวนา เขาก็มีความสุข จึงโหยหาเหล้าน้อยลง จนในที่สุดก็เลิกเหล้าไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ละชีวิตทางโลกอุปสมบทเป็นพระภิกษุและมุ่งมั่นกับการปฏิบัติธรรม หลวงปู่รู้ดีว่าการขอร้องให้เขาเลิกเหล้านั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นแทนที่จะห้ามเขากินเหล้า ท่านกลับขอให้เขาทำสิ่งที่ง่ายกว่านั้น คือนั่งสมาธิแค่วันละห้านาที ท่านรู้ดีว่าใครที่ทำสมาธิภาวนาทุกวัน แม้จะไม่กี่นาที ไม่นานก็จะเห็นอานิสงส์ของการปฏิบัติ และปฏิบัตินานขึ้นเอง จนเลิกเหล้าได้ในที่สุด

นิ่งสงบสยบปัญหา ธรรมะเตือนสติโดย พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

March 27, 2020 shantideva edit 0

มีพุทธประวัติตอนหนึ่ง ทำให้เราเข้าใจสำนวนที่ว่า ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ ครั้งหนึ่งกลุ่มปริพาชกหรือนักบวชนอกศาสนาพุทธ มีความคิดอยากทำลายชื่อเสียงพระพุทธเจ้า จึงส่งนางจิญจมาณวิกา ไปที่วัดเชตวันตอนรุ่งเช้าบ่อยๆ จากนั้นก็ให้นางสรรหาผ้ามาพันท้อง แกล้งว่าท้องทีละนิด เมื่อเวลาผ่านไปท้องของนางก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีคนทักถามว่าเธอท้องกับใคร นางจิญจมาณวิกาจึงตอบไปว่าท้องกับพระพุทธเจ้า เรื่องนี้พระองค์ทรงทราบความจริงดี แต่พระองค์ทรงเงียบเฉย ไม่ชี้แจงอะไร กระทั่งท้องของนางจิญจมาณวิกาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 9 เดือน นางจิญจมาณวิกา จึงทูลต่อพระพุทธเจ้าหน้าที่ธารกำนัลว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทำเธอท้องแล้วไม่ทรงรับผิดชอบ พระพุทธเจ้าทรงได้ยินดังนั้นก็แย้มพระสรวล ก่อนตรัสสั้นๆ ว่า เรื่องนี้มีแค่เธอกับเราเท่านั้นแหละที่รู้ความจริง จากนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงอธิบายขยายความต่อ นั่นทำให้นางจิญจมาณวิกา โกรธมาก และพยายามโต้เถียงจนผ้าที่พันท้องของนางอยู่หลุดออกมา ความจริงจึงเปิดเผยในที่สุด จากนั้น กรณีเช่นนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอีก เมื่อครั้งที่กลุ่มปริพาชกได้สังหารนางสุนทรีแล้วเอาศพไปทิ้งไว้ใกล้กุฏิของพระพุทธเจ้า เมื่อมีคนมาพบศพนางสุนทรีเข้า ข่าวลือว่าพระพุทธเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังการตายของนางก็แพร่สะพัดออกไป พระสงฆ์ทั้งหลายร้อนใจมากจึงได้ทูลให้พระพุทธเจ้าทรงหนีออกจากเมืองนั้นไปเสีย แต่พระองค์ตรัสตอบว่า ขอทุกท่านจงนิ่งสัก 7 วัน เดี๋ยวเรื่องนี้จักเงียบสงบไปเอง เจ็ดวันผ่านไปปรากฏว่าข่าวลือนั้นก็เงียบสงบไปจริงๆ ความจริงปรากฏว่า ฆาตกรที่ฆ่านางสุนทรีเกิดเมาแล้วทะเลาะกับเพื่อน เลยเปิดเผยว่าตนเองเป็นคนฆ่านางสุนทรี จากนั้นเขาถูกจับได้และโดนสำเร็จโทษถึงชีวิต ในบางสถานการณ์ การพูดหรือชี้แจงอาจจะไม่เป็นประโยชน์ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในอารมณ์ที่รุ่มร้อน พูดไปเขาก็ไม่ฟัง เมื่อคนเราถูกใส่ร้าย ส่วนใหญ่เรามักจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันที แต่การด่าหรือเถียงกลับนั้น มีแต่จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลง สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารอังกฤษที่ประจำการอยู่ที่พม่าต้องไปลาดตระเวนในป่าเพื่อต้านทานการบุกรุกของทหารญี่ปุ่น เย็นวันหนึ่ง ทหารลาดตระเวนมาแจ้งข่าวกับหัวหน้าว่า ข้างหน้ามีกองทัพทหารญี่ปุ่นโอบล้อมไว้ทุกด้าน บรรดาทหารอังกฤษก็คิดว่าถึงฝ่ายตนเองจะมีกำลังน้อยกว่า อย่างไรก็ต้องสู้ เพราะถ้าสู้แล้วอาจสามารถลดจำนวนทหารญี่ปุ่นได้เล็กน้อย ก็ยังดีเสียกว่าตายเปล่า แต่หัวหน้ากลับบอกว่าให้อยู่นิ่งๆ และยังให้ชงชาดื่มกันด้วย ถึงลูกน้องจะสงสัย แต่ทุกคนก็ปฏิบัติตามที่หัวหน้าสั่ง ชงชารอ ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารญี่ปุ่นก็เดินผ่านไป กลายเป็นว่าทุกคนที่นั่นก็รอดตาย บางครั้ง การอยู่นิ่งๆ สามารถช่วยชีวิตเราได้ เวลาเรือเจอพายุคลื่นลม แล้วก็เรือเกิดรั่ว ถ้าคนในเรือตื่นตกใจ ทำโน่นทำนี่ เรือก็คว่ำง่าย ที่จริงแล้ว การอยู่เฉยๆ อาจเกิดผลดีเสียกว่า หรือยามเมื่อคนที่เรารักใกล้เสียชีวิต แทนที่จะให้ท่านจากไปอย่างสงบ กลับบอกให้หมอทำโน่นทำนี่ เจาะคอบ้าง ใส่ท่อบ้าง ซึ่งยิ่งทำให้ท่านทุกข์ทรมาน ลูกๆ หลายคนรู้สึกเสียใจภายหลังว่า ทำไมไม่ให้พ่อหรือแม่ของตนจากไปอย่างสงบ ทำไมต้องทำนู่นต้องทำนี่ด้วย เพราะว่าไม่รู้จักนิ่ง ไม่รู้จักปล่อยวาง เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ ขอให้ใช้สติ ใช้ปัญญา อย่าคิดแต่จะทำนู่นทำนี่อย่างเดียว การไม่ทำอะไรเลย บางทียังเป็นการดีเสียกว่า