ประวัติหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

May 29, 2021 shantideva edit 0

หลวงปู่ศุข เป็นพระอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นที่นับถือเคารพบูชา และบารมีของท่านไม่สิ้นสุด ประวัติของท่านมีมาอย่างยาวนาน และยังคงเป็นที่สนใจของผู้คนจนยากที่จะลืมเลือนในคุณงามความดีของท่าน หลวงปู่ศุข เป็นชาวเมืองชัยนาทโดยกำเนิด ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๓๙๐ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่บ้านมะขามเฒ่า หรือในปัจจุบันคือ บ้านปากคลอง ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท โยมบิดาชื่อน่วม มารดาชื่อ ทองดี มีภูมิลำเนาที่ตำบลมะขามเฒ่า ครอบครัวประกอบอาชีพค้าขาย และทำสวน ต่อมาพออายุได้ ๑๐ ขวบ ลุงแฟง ก็ได้ขอรับไปเลี้ยงอยู่ที่ตำบลบางเขน จังหวัดพระนคร เมื่อหลวงปู่ฯ ย่างเข้าสู่วัยรุ่น ท่านได้เดินทางเข้ามาเมืองกรุง ทำมาหากินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขนเป็นหลัก จนอายุได้ ๑๘ ปี ก็ได้ภรรยาชื่อ นางสมบูรณ์ และเกิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา ท่านได้ถือครองเพศฆราวาสอยู่เพียงไม่นาน พอท่านอายุ ๒๒ ปี ท่านก็ได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขน โดยโยมบิดามารดาไม่ได้มาเข้าร่วมพิธีด้วย เพราะการเดินทางสมัยนั้นลำบากมาก พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ เป็นพระอาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนาธุระมีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งเห็นจริง อีกทั้งยังมีวิชาด้านวิทยาคมแก่กล้า ท่านจึงได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากพลวงพ่ออุปัชฌาย์ พระอาจารย์เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่า วัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ต่อมาท่านได้ออกเดินธุดงค์หาที่สงบฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานและวิชาอาคมต่างๆ จึงกราบลาอาจารย์กลับบ้านเกิด โดยมาพักอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่งข้างหมู่บ้านของท่าน ชาวชาวบ้านเกิดมีความศรัทธาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั้น เพื่อที่จะได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ รวมถึงได้ดูแลโยมบิดาและมารดาของท่านด้วย ท่านจึงพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรือง และเป็นวัดที่สมบูรณ์แบบจนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งอบรมสั่งสอนให้ชาวบ้านประพฤติดี ปฏิบัติชอบ จนประชาชนแถวนั้นมีความประพฤติดีมีศีลธรรมมากมาย หลวงปู่ฯท่าน มรณภาพลงด้วยอาการสงบในวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ สิริอายุขัยได้ ๗๕ ปี

ชื่ออภิญญาโลกีย์

May 28, 2021 shantideva edit 0

1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้2. ทิพยโสตญาณ มีประสาทหูเป็นทิพย์3. มโนยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ ถอดกายใจออกท่องเที่ยวได้4. ทิพยจักษุญาณ มีอารมณ์เป็นทิพย์ คล้ายตาทิพย์5. จุตูปปาตญาณ รู้สัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์มาเกิดนี้มาจากไหน6. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์ใจของคนและสัตว์7. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วได้ตามความต้องการ8. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว9. อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวที่ยังไม่ได้เกิด10. ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เรื่องราวในปัจจุบันที่ปรากฎขึ้นในที่ไกลหรือโลกอื่น11. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฎของกรรม

อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน

May 23, 2021 shantideva edit 0

เรื่องของอภิญญา คนส่วนใหญ่เมื่อฟังว่าอภิญญาแล้วก็มักจะคิดว่า ท่านที่ได้อภิญญาจะต้องมีความรู้แจ่มใสเหมือนพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่าง เป็นการเข้าใจผิดถนัด พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูคือ มีบารมีเป็นจอมอรหันต์ ย่อมทรงอภิญญาดีเลิศเป็นพิเศษ สำหรับพระสาวกที่ได้มีกำลังไม่เท่ากัน และไม่มีทางจะไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าได้เลย จะเปรียบให้ฟัง เอาเพียงทิพยจักษุญาณอย่างเดียว อย่างอื่นให้เข้าใจว่าเหมือนกัน 1. ทิพยจักษุญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสว่างคล้ายพระอาทิตย์ส่องแสงจัด ไม่มีเมฆบัง ไม่มีเผลอ ไม่มีพลาดในการเห็น2. ของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีความสว่างเหมือนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง มองเห็นคนกลางคืนเมื่อเดือนหงายมีสภาพอย่างไร ต่างกับกลางวันอย่างไร พิสูจน์เอาเอง3. พระอัครสาวกทั้งสอง มีความสว่างเหมือนคบเพลิงดวงใหญ่สว่าง แต่แสงสว่างไม่ไกลเหมือนความสว่างของดวงจันทร์4. ของพระอรหันต์สาวก สว่างเหมือนแสงตะเกียงดวงน้อย5. ของท่านที่ได้ฌานโลกีย์ สว่างเหมือนอากาศเมื่อพระอาทิตย์ลับแล้ว กำลังมัวตา มองดูอะไรก็ไม่เห็นถนัดนัก ข้อเปรียบเทียบนี้ยังไม่ละเอียดพอ แต่เกรงว่าลูกหลานจะเบื่อฟัง เอามาเปรียบเทียบเพียงย่อ ๆ ท่านที่ได้ฌานและอภิญญาไม่ใช่รู้อะไรหมด ยิ่งเป็นฌานโลกีย์ด้วยแล้ว ยิ่งมีจังหวะพลาดง่ายเหลือเกิน เพราะมีอุปาทานมาก ต้องระวังให้มาก ถ้าไม่ประมาทคิดว่าตัวดีไม่เป็นไร ถ้าประมาทเมื่อไรเจ๊งเมื่อนั้น สำหรับพระอริยท่านรู้ว่าท่านไม่ดีเสมอ ไม่มีความประมาท เรื่องเจ๊งไม่มี ทีนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องที่เล่ามาแล้ว ที่ฉันบอกเห็นอะไร ไปไหน คิดอะไร แล้วหลวงพ่อปาน รู้เรื่องที่บอกมา ไม่ใช่ฉันอวดตัวฉัน ที่บอกก็เพื่อให้ทราบว่าหลวงพ่อปานท่านรู้อภิญญา ที่เราเรียกว่าทิพยจักษุญาณ แต่ที่แท้แล้วญาณต่าง ๆ ของอภิญญามีชื่อหลายอย่าง จะนำมาเล่าให้ฟัง

หลวงพ่อเป็นพระทรงอภิญญา

May 21, 2021 shantideva edit 0

รื่องอภิญญาเป็นเรื่องธรรมดาของพุทธสาวก ไม่ใช่ของวิเศษมหัศจรรย์อะไรเลย เป็นของธรรมดาสามัญแท้ ๆ หนังสือตำราเขียนยกย่องเลยพอดีไปเองต่างหาก เลยทำให้นักศึกษาภายหลังท้อถอยคิดว่ายากลำบากเต็มที เลยพากันไม่เอาเสียเลย อภิญญาโลกีย์เป็นเรื่องของคนที่เกิดมาในโลกมีสิทธิ์จะทำให้เกิดได้ เพราะเมื่อมาเป็นคนได้เหมือนกัน สิ่งที่มีสิทธิ์เสมอกันตามปกติธรรมดาที่สามารถเห็นกันง่าย ๆ มีอยู่ คือ จะเป็นคนเกิดในตระกูลใดก็ตาม มีฐานะ มีความรู้ศักดิ์ศรี เพียงใดก็ตาม มีสิทธิ์แก่ ป่วย ตาย เหมือนกันหมด เพราะเป็นโลกียวิสัยคือเป็นวิสัยของคนที่เกิดในโลกจะทำได้ ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่องฌานและอภิญญา ท่านบอกแล้วว่าเป็นฌานโลกีย์และอภิญญาโลกีย์ เป็นทรัพย์สินที่คนเกิดมาในโลกจะพึงทำให้มี ให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ของยากเกินไป เพียงแต่ทำให้ถูก ทำพอดี ทำตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่เห็นต้องลงทุนลงรอนอะไรเลย เสียเวลารวบรวมกำลังใจนิดเดียวก็ได้ ที่ว่าทำไม่ได้ก็เพราะอยากดีเกินไปหรือขี้เกียจเกินไป รู้มากเกินไป หลงลาภ ยศ สรรเสริญ และกามสุขมากเกินไป จึงทำไม่ได้ เรื่องความดีทางใจ คนจนพวก จนยศ จนสรรเสริญ จนพะเน้าพะนอ ทำได้ดีกว่า คนที่รวยประเภทนั้นเพราะเมาน้อย คน เมามาก ขาดสติมาก เมาน้อย ขาดสติน้อย ไม่เมาเลยมีสติสมบูรณ์

หัวใจพระพุทธศาสนา

May 19, 2021 shantideva edit 0

โดย สมาน สุดโตวันหนึ่ง มีคำถามปัจจุบันทันด่วนถึงผม ว่าเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งพระสาวกชุดแรกออกไปประกาศพระศาสนาจำนวน 60 รูปนั้น พระพุทธองค์เสนอแนะด้วยหรือไม่ว่า ให้ใช้หลักธรรมอะไรในการเผยแพร่ ผมให้คำตอบว่า ต้องเป็นเนื้อหาสาระในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นแน่แท้ เพราะธัมมจักกัปปวัตตนสูตรได้กล่าวถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ พร้อมทั้งตอบโจทย์ในเรื่องการปฏิบัติอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ โดยลำดับแรกแสดงถึงเหตุให้เกิดทุกข์ ว่าตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปก็ไม่ดี ทางที่ดีที่สุดที่จะพ้นทุกข์ได้ คือมัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่ ในบรรดาปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 นั้น พุทธประวัติได้กล่าวถึงอีกองค์หนึ่งคือ พระอัสสชิ ซึ่งฟังปกิณกะเทศนาแล้วบรรลุธรรม ขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา เมื่อมาถึงกรุงราชคฤห์กลายเป็นพระเถระที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีกิริยามารยาทงดงาม วางตัวดี สำรวม จนกระะทั่งอุปติสสะปริพาชก ต่อมาคือพระสารีบุตร เกิดความเลื่อมใส จึงขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง

12 วิธีทำลายชีวิตลูก

May 6, 2021 shantideva edit 0

12 วิธีทำลายชีวิตลูก ด้วยตัวคุณเอง(โดยไม่รู้ตัว) ……..1.นำความฝันของตนเองมาตั้งเป้าหมายให้ลูก จนบางครั้งลืมมองไปว่า ” ความฝันของลูก คืออะไร ” (ถ้าความฝันลูก เหมือนกับความฝันของเรา…ก็สนับสนุนกันให้สุดๆ ไปเลย) ……..2.เปรียบเทียบลูกของท่านกับลูกของคนอื่นเสมอ ทั้งที่จริงๆ แล้วเด็กทุกคนมีดีในตัวของตัวเอง ……..3.การสร้างแรงกดดันในการเรียน และยัดเยียดห้องเรียนอัจฉริยะให้ ……..4.ปกป้องลูกจากอุปสรรคและปัญหาทุกอย่างในชีวิต (ประมาณว่าแม่ทำให้ ) โดยลืมไปว่าพ่อแม่มีอายุไม่ถึง 200 ปี ……..5.ขโมยเวลาที่มีค่าในการเรียนรู้ชีวิตของลูก เพื่อไปเรียนกวดวิชาอย่างบ้าคลั่ง โดยเชื่อว่าจะสามารถสร้างอนาคตให้ลูกได้… ……..6.มองสิ่งที่ลูกชอบหรือถนัด เป็นสิ่งที่ไร้สาระไม่มีคุณค่า ……..7.มีความเชื่อว่า การทำทุกอย่างให้เข้าโรงเรียนดังๆ…จะทำให้ลูกมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนอื่น… ……..8.ตีกรอบความคิดว่าอาชีพ “หมอ วิศวะ ทหาร ตำรวจ ครู และอาชีพยอดนิยม” คืออาชีพที่ดีที่สุด และประสบความสำเร็จมากที่สุดถ้าได้เป็น จนลืมมองอาชีพในโลกว่ายังมีอาชีพอื่นอีกมาก ที่สามารถประสบความสำเร็จได้ ( เด็กไทยหลายๆคน พิสูจน์ได้ว่า เรียนไม่จบ.4 ก็ประสบความสำเร็จได้ ) ……..9.เข้าใจว่า เกรดเฉลี่ยและผลการเรียน คือใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ ในการทำงาน แต่จริงๆ แล้ว ความสำเร็จวัดจากทักษะในการทำงานจริงๆ ต่างหาก ต่อให้ได้เกียรตินิยม  ทำงานไปหกเดือนแล้วผลงานห่วย  เข้ากับใครไม่ได้ เห็นแก่ตัว เค้าก็ไม่จ้างครับ ชีวิตจริงในการทำงานมันมีอะไร มากกว่า เกรด เรื่องนี้ ท่านก็รู้อยู่แก่ใจ…. ……..10.เชื่อเสมอว่าสิ่งที่ลูกทำถูกต้องที่สุด..ทุกคนที่มีปัญหากับลูกเลวหมด…ให้ท้ายลูก… ……..11.สร้างค่านิยมว่าความสำเร็จใจชีวิต วัดที่การยกระดับฐานะทางการเงิน โดยไม่สอนให้ลูก ยกระดับจิตใจ…คุณธรรม…เสียสละ….และแบ่งปัน… ……..12.เชื่อว่า…ลูกคือหน้าตาของพ่อแม่…พ่อแม่จะรู้สึกภาคภูมิใจ…เมื่อลูกของตน…ดีกว่าลูกของคนอื่น…(รู้สึกภาคภูมิใจ)

แม่ขอโทษ

May 4, 2021 shantideva edit 0

ลูกแม่ ………วันนี้ตอนที่กินข้าวกลางวัน ลูกคุยโทรศัพท์กับแฟนว่าคอนโดห้องนั้นตอนนี้ขึ้นราคาอีกแล้ว ถ้าไม่รีบซื้อ น่ากลัวว่าจะพลาดโอกาสได้ห้องชุดดีๆอย่างนี้อีกแล้ว ………แม่รู้ ลูกคุยกับเพื่อให้แม่ฟัง ตอนนั้นลูกหันมามองแม่ แต่แม่ไม่ได้พูดอะไร พอลูกวางสายจากแฟน ลูกคงหวังว่าแม่จะพูดว่า ………“ราคาเท่าไหร่ เดี๋ยวแม่ซื้อให้!”………แต่แม่ไม่ได้พูดในสิ่งที่ลูกต้องการได้ยิน ลูกจึงฮึดฮัด วางช้อนส้อมเสียงดังแล้วก็ลุกเดินออกไปจากโต๊ะ กระชากประตูเปิดปิดด้วยเสียงอันดัง………แม่มองตามหลังลูกไป ลูกแม่ทำไมยังเอาแต่ใจ ลูกยังต้องการเกาะพ่อกับแม่อยู่อย่างนี้อีกเหรอ? ทำไมไม่รู้จักโตซะที?………ลูกแม่ ตอนนี้ลูกอายุ 30 ปีแล้วนะ ลูกมีงานที่ดีทำ มีแฟน มีพ่อกับแม่ที่เปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ………แค่นี้ ไม่มีเพียงพอให้ลูกยืนหยัดขึ้นมา เป็นที่พึ่งของพ่อกับแม่ไม่ได้อีกเหรอ? ………ตั้งแต่ลูกเป็นเด็ก ลูกก็ชอบพึ่งพาอาศัยแม่มาตลอด แต่นี่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะลูก!………ตอนลูกอายุได้ 5 ขวบ แม่ต้องคอยเก็บของเล่น ที่ลูกทิ้งกระจัดกระจายไปทั่วบ้าน ………ตอนลูกอายุได้ 10 ขวบ ลูกเห็นเพื่อนๆ ใส่รองเท้าแฟชั่น ลูกก็กลับมาร้องห่มร้องไห้ให้แม่พาไปซื้อรองเท้า………ตอนลูกอายุได้ 15 ปี ลูกส่งจดหมายให้เพื่อนหญิงในห้องว่า “แม่เรารู้จักคนเยอะ หากใครรังแกเธอ บอกเราได้นะ เราจะให้แม่เราไปจัดการให้”………ตอนลูกอายุได้ 20 ปี ลูกโทรมาจากมหาวิทยาลัยทุกวัน ว่าอาหารที่โรงอาหารไม่อร่อย ทำไมแม่ไม่ส่งข้าวปลาอาหารหรืออาหารเสริมให้บ่อยๆ?………วันนี้ลูกอายุได้ 30 ปี ลูกกลับพูดคุยโอ้อวดกับแฟนและเพื่อนๆว่า “แม่เราจะซื้อคอนโดให้เรา ต่อให้เราไม่ทำงานอะไรพ่อแม่เราก็เลี้ยงเราไหว!” ………ที่ผ่านมาแม่ไม่ว่าอะไร แม่ได้แต่ทำใจลืมๆ สิ่งที่ลูกทำ แม่ชินแล้วกับสิ่งที่ลูกร้องขอจากแม่ ………แม่คิดเพียงว่า วันนี้แม่เลี้ยงลูก ดูแลลูกเป็นอย่างดี ก็หวังว่าเมื่อพ่อและแม่แก่ตัวมา จะได้ฝากผีฝากไข้ไว้กับลูกได้ ………ตอนนี้ลูกก็เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว พ่อกับแม่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่จากลูกได้แล้ว แต่นี่มันอะไร?………ลูกของแม่ในวันนี้ ยังกลับมาให้แม่ทำกับข้าวให้กินทุกวัน ยังไม่พอ ยังพาแฟนมานั่งเป็นแขกให้แม่ทำกับข้าว หาขนมมาเลี้ยงเธอทุกวัน ………แม่ก็ยังทำงานอยู่นะลูก ยังต้องทำอาหารให้ลูกทั้ง 3 มื้อ ลูกจะให้แม่ยิ้มออกได้อย่างไร? ………วันนี้แม่เข้าใจแล้ว แม่ลำบากตรากตรำอยู่คนเดียว แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก แต่ทำให้ลูกเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก้ไม่ฝ่อ ………ยิ่งมาลูกก็ยิ่งทำตัวเกียจคร้าน ไม่เป็นโล้เป็นพาย………แม่คงต้องยอมรับเสียที 30 ปีที่ผ่านมา ที่แม่รักลูกหลงลูก เป็นความผิดมหันต์ของแม่………มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่แม่หยอกลูกว่า “แม่คงไม่ทันมีชีวิตได้อุ้มหลานตัวน้อยซะแล้ว” ………ลูกร้องเสียงหลง “ได้ยังไงแม่ แล้วใครจะทำกับข้าวให้ผมกับเมียกิน ลูกผมอีกล่ะ แล้วใครจะมาช่วยเลี้ยง?” ………วันนั้น แม่เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แม่เจ็บแปลบไปทั้งหัวใจ ลูกแม่คิดอะไรอยู่ ทำไม่ถึงพูดกับแม่อย่างนี้?………แม่จะต้องเลี้ยงดูลูกอย่างนี้ไปจนตายเหรอ? แม่ไม่ได้เลี้ยงลูกให้เป็นนกอินทรี แต่แม่เลี้ยงลูกให้เป็นปลิง ที่คอยดูดเลือดแม่ให้เหือดแห้งไปจนตาย ………ลูกแม่ วันนี้แม่จะไม่ตามใจลูกอีกต่อไปแล้ว ………ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของลูก แม่ได้เลี้ยงดูและส่งเสียให้ลูก ได้มีวิชาความรู้ติดตัวแล้ว ………ต่อจากนี้ไป แม่จะไม่สนใจการกินอยู่ของลูกอีกแล้ว แม่เพิ่งลาออกจากงานมาเมื่อวาน ………แม่จะไม่เอาเงินบำเหน็จ มาปนเปรอให้ลูกได้เสพสุข โดยแม่ต้องทุกข์ทรมานไปจนตายอีกแล้ว ………หากลูกไม่พอใจ  ไม่อยากอยู่กับพ่อแม่ ลูกก็ขนของออกจากบ้านนี้ ไปเช่าอยู่ข้างนอก ลูกจะกินจะอยู่อย่างไรก็แล้วแต่ลูกเถิด