บก.ตอบจดหมาย : เรียกศรัทธาให้พุทธศาสนา/กระทรวงเกษตรฯโปรดทราบ/ให้โอกาสน.ศ.รีไทร์อย่างพอเหมาะ/พิธีกรอ่อนข้อมูล

April 10, 2021 shantideva edit 0

กรณีการจับกุมพระชั้นผู้ใหญ่หลายรูป ที่มีส่วนพัวพันเงินทอนวัด กับกรณีปล้นทรัพย์กับเป็นหัวหน้าอั้งยี่ซ่องโจรนั้น เป็นการเรียกศรัทธาผู้ที่มีอำนาจใช้กฎหมายว่าทำจริง กับเรียกศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่ผ่านมานั้นพระสงฆ์บางรูปวางตัวไม่เหมาะสม เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมากเกินไป บางรูปก็ยังสละกิเลสไม่หมด แต่ลำพังจะโทษพระสงฆ์แต่ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่ หลายเหตุการณ์มักจะมีฆราวาสเข้ามาเกี่ยวข้องเกือบทุกเรื่อง หยิบยื่นผลประโยชน์ให้กันและกันก็เลยเกิดปัญหา นับถือ บ่าว ตอบ บ่าว เห็นด้วยว่า เป็นการทำงานของตำรวจที่เรียกศรัทธาให้กับพระพุทธศาสนากลับคืนมา สงฆ์ไม่ควรยุ่งทางโลกมากเกินไป เช่น ไปนำม็อบ เป็นต้น กระทรวงเกษตรฯโปรดทราบ เรียน บ.ก.ข่าวสด ชาวบ้านในพื้นที่ ต.ช่างปี่ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ร้องมาว่า โครงการ “ระบบส่งน้ำในไร่นา” ด้วยท่อน้ำ PE ความยาว 2,320 เมตร ของกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 ตั้งอยู่ข้างสระน้ำสาธารณะบ้านกระโดนค้อ ม.2 ใช้ประโยชน์ยังไม่ได้ แม้จะมีการสร้างวางระบบเครื่องสูบน้ำและวางระบบท่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วก็ตาม เนื่องจากว่าแหล่งน้ำดิบ มีปริมาณน้ำที่ไม่เพียงพอ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงมีมติไม่ให้เปิดใช้ระบบดังกล่าว เกรงว่าน้ำประปาที่ใช้อุปโภค-บริโภคจะขาดแคลน ร้องขอให้กรมที่ดินเจ้าของโครงการและเป็นต้นเรื่อง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยลงมาดูแลแก้ปัญหาหรือขุดลอกขยายแหล่งน้ำดิบให้มีปริมาณน้ำที่เพียงพอด้วย เพื่อที่ชาวบ้านและเกษตรกรจะได้ใช้ประโยชน์ด้านการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง จากระบบส่งน้ำในไร่นาเสียที หลังจากถูกทิ้งร้างมานานกว่า 3-4 ปีแล้ว

นิกายของศาสนาพุทธ

นิกายของศาสนาพุทธ

February 1, 2021 shantideva edit 0

ศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็นนิกายใหญ่ได้ 2 นิกายคือ เถรวาทและมหายาน นอกจากนี้แล้วยังมีการแบ่งที่แตกต่างออกไปแบ่งเป็น 3 นิกาย เนื่องจากวัชรยานถือว่าตนเป็นยานพิเศษโดยเฉพาะ ต่างจากมหายาน เถรวาท หรือ หีนยาน (แปลว่า ยานเล็ก) หมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งคำสั่งสอนและหลักปฏิบัติจะเป็นไปตามพระไตรปิฎก นับถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทย, ศรีลังกา, พม่า, ลาว และกัมพูชา ส่วนที่นับถือเป็นส่วนน้อยพบทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม (โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อสายเขมร), บังกลาเทศ (ในกลุ่มชนเผ่าจักมา และคนในสกุลพารัว) และทางตอนบนของมาเลเซีย (ในหมู่ผู้มีเชื้อสายไทย) มหายาน (แปลว่า ยานใหญ่) หรือ อาจาริยวาท แพร่หลายในสาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้, เวียดนามและสิงคโปร์ พบเป็นประชาชนส่วนน้อยในประเทศเนปาล (ซึ่งอาจพบว่านับถือร่วมกับศาสนาอื่นด้วย) ทั้งยังพบในประเทศอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน และฟิลิปปินส์ ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน วัชรยาน หรือ มหายานพิเศษ พบมากในเขตปกครองตนเองทิเบตของจีน, ประเทศภูฏาน, มองโกเลีย และดินแดนในการปกครองรัสเซีย เช่น สาธารณรัฐตูวา และคัลมืยคียานอกจากนี้เป็นประชากรส่วนน้อยในดินแดนลาดัก รัฐชัมมูและกัษมีร์ ประเทศอินเดีย, เนปาล, ปากีสถาน (ในเขตบัลติสถาน)

No Image

พระคริสตธรรมคัมภีร์

January 14, 2021 shantideva edit 0

พระคริสตธรรมคัมภีร์ หรือพระคัมภีร์ (Holy Bible) เป็นหลักคำสอนหรือคู่มือในการดำเนินชีวิตของคริสตชน เชื่อว่า พระเจ้าทรงดลใจให้ผู้ประกาศพระวจนะของพระองค์ โดยบุคคลหลากหลาย ต่างยุค ต่างสมัย ต่างอาชีพ ตั้งแต่ กษัตริย์, ธรรมาจารย์, ปุโรหิต, สานุศิษย์, ชาวประมง และสามัญชนผู้มีใจศรัทธาได้เขียนขึ้น พระคัมภีร์มีสองภาค แบ่งเป็นภาคพันธสัญญาเดิม (Old Testament) และภาคพันธสัญญาใหม่ (New Testament) โดยภาคพันธสัญญาเดิมจะกล่าวถึงประวัติศาสตร์การสร้างโลก และกำเนิดมนุษยชาติ การกระจายของพงศ์พันธุ์มนุษย์ ประวัติศาสตร์ชนชาติยิว ( ยูดาย) บทนิพนธ์ บทเพลงสรรเสริญนมัสการพระเจ้า และหลักคำสอน คำพยากรณ์แห่งอนาคตของประชาชาติ ส่วนพระคัมภีร์ใหม่จะกล่าวถึงประวัติและพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ การกำเนิดและการขยายงานคริสตจักร โดยการเผยแพร่ หลักคำสอนในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ศรัทธาในพระองค์ ตลอดคำสัญญาแห่งอนาคต คัมภีร์ไบเบิล (อังกฤษ: Bible) (มาจากภาษากรีกว่า บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ เรียกโดยย่อว่าพระคัมภีร์ เป็นหนังสือที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์ ความบาป และแผนการของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อเช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture)

ศาสดาของศาสนาคริสต์

ศาสดาของศาสนาคริสต์

January 11, 2021 shantideva edit 0

ประวิติพระเยซูพระเยซูประสูติเมื่อ ปีค.ศ. 1 เป็นบุตรชายของนางมารีย์ และโยเซฟ ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่นาซาเรธ แคว้นกาลิลี นางมารีย์ ได้หมั้นหมายไว้กับโยเซฟ ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์ คือ กาเบรียลเข้าบ้านมาหานางมารีย์แล้วกล่าวว่า “ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนี้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับๆ แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” โยเซฟจึงทำตามคำนั้น คือได้รับนางมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ ขณะที่นางมารีย์มีครรภ์แก่ใกล้กำหนดคลอด โยเซฟได้พาภรรยาไปยังเบธเลแฮมเพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัวจากคำสั่งของจักรพรรดิ์ออกัสตัส และเนื่องจากไม่สามารถหาโรงแรมได้ พระกุมารจึงกำเนิดขึ้น ณ รางหญ้า นางมารีย์จึงนำผ้าพันกายพระกุมารเอาไว้ คืนนั้นทูตสวรรค์ปรากฏแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาจึงตกใจมาก แต่ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่ากลัวไปเลย เรามาเพื่อประกาศข่าวดี คืนนี้เองในเมืองของกษัตริย์ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็นหลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมาร มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า” บรรดาคนเลี้ยงแกะ และเหล่านักปราชญ์ที่เดินทางไปเรื่อย ๆ เดินไปยังคอกสัตว์และถวายเครื่องบรรณาการสามสิ่ง คือ ทองคำสำหรับกษัตริย์ กำยาน ( เครื่องหอมคุณภาพดี) มอบแด่นักบุญนักบวช และมดยอบ (ยางไม้มีกลิ่นหอม) สำหรับผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานและเสียชีวิต เมื่อกลับมาอยู่ที่นาซาเรธ ก็ได้รับการศึกษาตามสมควร ปรากฏว่าได้แสดงความเฉลียวฉลาด เมื่ออายุได้ประมาณ 30 ปี ได้เริ่มสั่งสอนตามลำพัง เรียกตนเองว่าบุตรพระเจ้า ชาวยิวที่นับถือจึงเชื่อกันว่า พระเยซู คือ พระเมสสิอาห์ที่พระเจ้าโปรดให้ลงมาเพื่อไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์ พระองค์ทำอัศจรรย์ต่างๆมากมาย เช่น ช่วยรักษาคนเจ็บ (ขับไล่ภูตผีปีศาจ) ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ และสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพ แต่ชาวยิวกลุ่มหนึ่งที่เคร่งครัดในศาสนาเดิมโกรธแค้นว่าพระเยซูจะทำการแบ่งแยกศาสนา ทางข้าหลวงโรมันก็เห็นว่าพระเยซูจะก่อการปฏิรูปสังคมและซ่องสุมคน จึงทำให้พระเยซูถูกกุมตัวขึ้นศาล และถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงไม้กางเขน พระองค์สิ้นพระชนม์ ณ เนินเขาโกลโกธา (Golgotha) นอกเมืองเยรูซาเล็ม ต่อมามีข่าวลือว่าพระเยซูทรงกลับฟื้นคืนชีพ และปรากฏตัวให้บรรดาสานุศิษย์ที่จงรักภักดีได้เห็น บรรดาสาวกจึงจัดตั้งเป็นกลุ่ม เพื่อสั่งสอนศาสนาตามแนวทางของพระคริสต์ไปตามที่ต่างๆ ต่อมาคริสต์ศาสนาจึงเป็นศาสนาที่สำคัญของโล

No Image

ความเสื่อมพุทธศาสนาในอินเดีย

December 30, 2020 shantideva edit 0

คนที่นับถือพระพุทธศาสนาได้หายไปจากทวีปเกือบหมดหลายพันปี ที่เหลือกลายเป็นชนกลุ่มน้อย ไม่ว่าในดินแดนที่เรียกว่าอินเดียหรือปากีสถานในปัจจุบัน Peter Moss เขียนภาพพระแตกร้าวว่ามาจากเหตุ 4 ประการคือ การทบทวน (คำสอน) ของฮินดู การบุกรุกของชาวฮั่น มุสลิมบุกรุก และพระสงฆ์ไม่ทำตามหน้าที่ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาที่พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร์ สระคำ) รวบรวมความเสื่อมพุทธศาสนาไว้ 7 ประการ1.พระภิกษุสงฆ์เกิดแตกสามัคคี ชิงดีชิงเด่นแย่งกันเป็นใหญ่ หลงใหลในลาภ ยศ สักการะ ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ติดอยู่ในพิธีกรรม มากกว่าการศึกษาและปฏิบัติธรรม เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสอนเดิม เพิ่มเติมใหม่ ทำให้เกิดสัทธรรมปฏิรูป จะเห็นว่าสังคายนาแต่ละครั้งที่ทำในอินเดียย่อมมีมูลเหตุมาแต่การแตกแยกของพระภิกษุสงฆ์ 2.ขาดผู้อุปถัมภ์ พระพุทธศาสนาเจริญและดำรงมาได้ก็เพราะมีพระเจ้าแผ่นดินให้ความอุปถัมภ์บำรุง เมื่อสิ้นกษัตริย์ผู้มีความเลื่อมใส พระพุทธศาสนาก็เหมือนกับต้นไม้ขาดน้ำและปุ๋ย 3.ถูกศาสนาอื่นๆ เบียดเบียน เช่น ศาสนาฮินดู ที่เป็นคู่แข่ง เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ฮินดูประกาศคำสอนของตนเป็นการใหญ่ ส่วนพระพุทธศาสนามีแต่ตั้งรับ บางครั้งก็เปิดช่อง หรือไม่ก็หลอมตัวเข้าหา เท่ากับทำลายตัวเอง และถูกคนอื่นทำลาย 4.เพราะคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ทวนกระแส คือตรงดิ่งสู่ความจริง เป็นการฝืนใจคน ต้องดึงคนเข้าหาหลัก มิใช่ดึงหลักเข้าหาคน ไม่บัญญัติหรือสอนไปตามความชอบพอของคนบางคน แต่สอนไปตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา จึงทำให้ผู้มักง่ายเกิดความเอือมระอา พากันหันไปหาคำสอนที่ถูกใจ 5.พุทธศาสนาปฏิเสธวรรณะ ขัดต่อความคิดเห็นของคนชั้นสูงและคนชั้นต่ำ ที่ยึดมั่นอยู่ในลัทธิประเพณี คนชั้นสูงต้องการคงวรรณะไว้ คนชั้นต่ำก็คิดเช่นเดียวกัน 6.เพราะพระพุทธศาสนาได้รับเอาลัทธิตันตระของฮินดูมาปฏิบัติ ซึ่งเป็นการขัดต่อคำสอนอันดั้งเดิมของพระพุทธศาสนา 7.สมัยที่มุสลิมเข้ามามีอำนาจ กษัตริย์มุสลิมได้แผ่อำนาจไปในที่ต่างๆ อย่างกว้างขวางและพร้อมกันนั้น อิทธิพลของศาสนาอิสลามก็ได้แผ่ตามไปด้วย เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาที่กำลังจะล้มพับอยู่แล้ว ก็ถึงกาลอวสาน

No Image

การขยายตัวของพุทธศาสนาอินเดีย

December 27, 2020 shantideva edit 0

แม้ว่าพุทธศาสนาจะได้สูญหายจากอินเดีย ยกเว้นบางพื้นที่ในเนปาล พระธรรมทูตก็ได้เดินทางไปเผยแผ่ศาสนายังภาคต่างๆ ของเอเชียเพื่อชักชวนให้ประชาชนเปลี่ยนศาสนา เริ่มจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือ พระสงฆ์ได้เดินทางเข้าสู่เอเชียกลางที่ครั้งหนึ่งพุทธศาสนาเข้มแข็งมากได้เข้าสู่จีน มีพระสงฆ์จีนและนักปราชญ์ต่างเดินทางเข้าไปเยือนอินเดียก่อน ค.ศ. 400 เพื่อศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และกลับจีนพร้อมด้วยคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และพระพุทธรูปมากมาย อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศจีนกลายมาเป็นประเทศที่นับถือพุทธอย่างเข้มแข็ง จากจีนพุทธศาสนาได้ผ่านเข้าสู่เกาหลีและญี่ปุ่นและยังคงมีอิทธิพลจนทุกวันนี้ พุทธศตวรรษที่ 7-11 คณะธรรมทูตและพ่อค้าได้นำพุทธศาสนาหินยานเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ พม่า ไทย เวียดนาม ลาว และกัมพูชา กลายเป็นศาสนาหลักที่ในประเทศนั้นๆ รวมทั้งเคยเป็นที่นับถือเข้มแข็งในอินโดนีเซียและมาเลเซีย ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยศาสนาอิสลาม บ่อยครั้งพุทธศาสนาได้ปรับตัวเข้ากับประเพณีวัฒนธรรมพื้นเมืองที่ปฏิบัติกันอยู่ อย่างเช่นสถาปัตยกรรมของวัด และบางครั้งเทพเจ้าพื้นเมืองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมของชาวพุทธไป แม้ว่าวัด แท่นที่บูชา เทศกาลต่างๆ ในประเทศที่นับถือพุทธเช่นญี่ปุ่นและพม่า จะมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สำคัญยังเหมือนกัน

นิกายในศาสนาสิกข์

นิกายในศาสนาสิกข์

December 20, 2020 shantideva edit 0

ศาสนิกชนชาวซิกข์ส่วนใหญ่นั้นอาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย แม้จะมีชุมชนชาวซิกข์อยู่ในส่วนต่างๆของโลกก็ตาม นิกายของศาสนาซิกข์แบ่งออกเป็น 3 นิกาย บางนิกายยึดถือเอาคำสอนของศาสดาคุรุนานักเป็นค าสอนหลัก บางนิกายยึดคัมภีร์ครันถ์ในฐานะคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์บางนิกายก็ยึดถือเอาศาสดาทั้ง 10 ในฐานะผู้จุดประกายแห่งความศรัทธา ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ 1 นิกายอุทสิส (Udasis)นิกายนี้โดยพื้นฐานเป็นนิกายส าหรับพวกนักบวช ชาวซิกข์นิกายนี้มักปฏิบัติตามกฎหรือข้อปฏิบัติในรูปแบบการบ าเพ็ญพรตของศาสนาฮินดู พุทธศาสนาและเชน พวกเขาจะไม่แต่งงาน และแต่งกายสีเหลือเหมือนจีวรของนักบวชในพุทธศาสนา หรือบางพวกก็เปลือยกายเหมือนนักบวชในศาสนาเชน โดยมีภาชนะส าหรับออกขออาหารเท่านั้นเป็นสมบัติติดตัวนิกายอุทสิสนี้จะไม่เหมือนชาวซิกข์นิกายอื่นๆ เพราะพวกเขามักจะโกนศีรษะและหนวดและนิยมเดินทางออกเผยแพร่ศาสนาไปตามที่ต่างๆ 2 นิกายสหัชธรีหรือนานักปันถินิกายนี้จะเป็นพวกอนุรักษ์นิยม นับถือคุรุนานัก เน้นหนักไปในทางการด ารงชีวิตแบบเรียบง่าย ด าเนินรอยตามหลักค าสอนของศาสดาคุรุนานัก ไม่นิยมการให้ชาวซิกข์มีลักษณะเป็นนักต่อสู้หรือเป็นนักรบ นิกายนี้นิยมโกนหนวดเครา 3 นิกายขาลสา หรือ สิงห์นิกายนี้นับถือเน้นหนักตามค าสอนของศาสดาคุรุโควินทสิงห์ ผู้ชายจะมีลักษณะของนักรบเพื่อปกป้องชาวซิกข์ ผู้ที่นับถือนิกายนี้จะไว้ผมตลอดทั้งหนวดเครายาว โดยไม่ตัดหรือโกนตลอดชีวิต7

หลักคำสอนสำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

หลักคำสอนสำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

December 13, 2020 shantideva edit 0

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุด มีหลักธรรมสำคัญ ๆ ดังนี้ หลักธรรม ๑๐ ประการ1. ธฤติ ได้แก่ ความพอใจ ความกล้า ความมั่นคง ซึ่งหมายถึง การพากเพียรจนได้รับความสำเร็จ2. กษมา ได้แก่ ความอดทน นั่นคือพากเพียรและอดทน โดยยึดความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง3. ทมะ ได้แก่ การข่มจิตใจของตนด้วยเมตตา และมีสติอยู่เสมอ4. อัสเตยะ ได้แก่ การไม่ลักขโมย ไม่กระทำโจรกรรม5. เศาจะ ได้แก่ การกระทำตนให้บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ6. อินทรียนิครหะ ได้แก่ การหมั่นตรวจสอบอินทรีย์ ๑๐ ประการ ให้ได้รับการตอบสนองที่ถูกต้อง7. ธี ได้แก่ ปัญญา สติ มติ ความคิด ความมั่นคงยืนนาน นั่นคือมีปํญญาและรู้จักระเบียบวิธีต่าง ๆ8. วิทยา ได้แก่ ความรู้ทางปรัชญา9. สัตยา ได้แก่ ความจริง คือ ซื่อสัตย์ต่อกันและกัน10. อโกธะ ได้แก่ ความไม่โกรธ หลักอาศรม ๔ เป็นขั้นตอนการดำเนินชีวิตของผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพื่อยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น มี ๔ ประการคือ1. พรหมจารี เป็นขั้นตอนที่เด็กชายทุกคนที่เกิดในวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ต้องศึกษาเล่าเรียน ต้องเข้าพิธีมอบตนเป็นนักศึกษา และจะต้องปรนนิบัติรับใช้อาจารย์พร้อมกับศึกษาเล่าเรียน2. คฤหัสถ์ เป็นวัยแห่งการครองเรือน เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วกลับไปใช้ชีวิตทางโลก แต่งงานและมีบุตรเพื่อสืบสกุล โดยยึดหลักธรรมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต3. วานปรัสถ์ เป็นขั้นที่แสวงหาธรรม โดยการออกบวชสู่ป่า เพื่อฝึกจิตใจให้บริสุทธิ์และเตรียมปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม4. สันยาสี เป็นขั้นสุดท้ายแห่งชีวิต โดยสละชีวิตทางโลกออกบวช บำเพ็ญเพียรตามหลักศาสนา เพื่อความหลุดพ้น

นิกายพรามณ์ ฮินดู

นิกายพรามณ์ ฮินดู

December 9, 2020 shantideva edit 0

ศาสนาฮินดู ศาสนาพรามณ์เป็นศาสนาที่เก่าแก่มากที่สุด ได้แบ่งออกเป็นหลายนิกายที่สำคัญ 1. ลัทธิไวศณพ (Vishnav) เป็นนิกายที่เก่าที่สุด นับถือพระวิษณุเจ้าเป็นเทพองค์สูงสุด เชื่อว่าวิษณุสิบปาง หรือนารายณ์ ๑๐ ปางอวตารลงมาจุติ มีพระลักษมีเป็นมเหสี มีพญาครุฑเป็นพาหนะ นิกายนี้มีอิทธิพลมากในอินเดียภาคเหนือและภาคกลาง ของประเทศ นิกายนี้เกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๓๐๐ สถาปนาโดยท่านนาถมุนี (Nathmuni) 2. ลัทธิไศวะ (Shiva) เป็นนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด พระศิวะเป็นเทพทำลายและสร้างสรรค์ด้วย สัญลักษณ์ อย่างหนึ่งแทนพระศิวะคือศิวลึงค์และโยนีก็ได้รับการบูชา เช่น องค์พระศิวะ นิกายนี้ถือว่าพระศิวะเท่านั้นเป็นเทพสูงสุดแม้แต่พระพรหม, พระวิษณุก็เป็นรองเทพเจ้าพระองค์นี้ นิกายนี้เชื่อว่า วิญญาณเป็นวิถีทางแห่งการหลุดพ้นมากกว่าความเชื่อในลัทธิภักดี นิกายนี้จะนับถือพระศิวะและพระนางอุมาหรือกาลีไปพร้อมกัน 3. ลัทธิศักติ (Shakti) เป็นนิกายที่นับถือพระเทวี หรือพระชายาของมหาเทพ เช่น สรัสวดี พระลักษมี พระอุมา เจ้าแม่ทุรคา และเจ้าแม่กาลีซึ่งเป็นชายาของมหาเทพทั้งหลาย เป็นผู้ทรงกำลังหรืออำนาจของเทพสามีไว้ จึงเรียกว่า ศักติ (Power) นิกายนี้เป็นที่นิยมในรัฐเบงกอล และรัฐอัสสัม เป็นต้น 4. ลัทธิคณพัทยะ (Ganabadya) นิกายนี้นับถือพระพิฆเณศเป็นเทพเจ้าสูงสุด ถือว่าพระพิฆเนศเป็นศูนย์กลางแห่งเทพเจ้าทั้งหมดในศาสนา เชื่อว่าเมื่อได้บูชาพระพิฆเนศอย่างเคร่งครัด ก็เท่ากับได้บูชาเทพอื่นๆ ครบทุกพระองค์ 5. ลัทธิสรภัทธะ (Sarabhadh) เป็นนิกายขนาดเล็ก ในสมัยก่อนบูชาพระอาทิตย์ (สูรยะ) มีผู้นับถือมากในอดีต ปัจจุบันมีจำนวนน้อย นิกายนี้มีพิธีอย่างหนึ่งคือ กายตรี หรือ คายตรี (Gayatri) ถือว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ คือการกลับมาของพระอาทิตย์เป็นฤๅษีวิศวามิตร 6. ลัทธิสมารธะ (Samardha) เป็นนิกายที่ใหญ่พอสมควร นับถือทุกเทพเจ้าทุกพระองค์ในศาสนา ฮินดู ความเชื่อแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถบูชาเจ้าได้ตามต้องการยังมีนิกายอื่นๆ อีกมากมาย และแยกย่อยออกไปอีก

คำภีร์ ศาสนาพรามณ์ฮินดู

คำภีร์ ศาสนาพรามณ์ฮินดู

December 6, 2020 shantideva edit 0

คัมภีร์พระเวท มี 3 คัมภีร์ เรียกว่า “ไตรเวท” คือ1.ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดสดุดีพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย บรรดาเทพเจ้าที่ปรากฏในฤคเวทสัมหิตามีจำนวน 33 องค์ ทั้ง 33 องค์ ได้จัดแบ่งตามลักษณะของที่อยู่เป็น 3 กลุ่ม คือ เทพเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ เทพเจ้าที่อยู่ในอากาศ และเทพเจ้าที่อยู่ในโลกมนุษย์ มีจำนวนกลุ่มละ 11 องค์ 2.ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยสูตรสำหรับใช้ในการประกอบยัญพิธียชุเวทสัมหิตา แบ่งออกเป็น 2 แขนง คือ2.1 ศุกลชุรเวท หรือ ยชุรเวทขาว ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์ หรือคำสวดและสูตรที่ต้องสวด2.2 กฤษณยชุรเวท หรือ ยชุรเวทดำ ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์และคำแนะนำเกี่ยวกับการประกอบยัญพิธีบวงสรวง ตลอดทั้งคำอธิบายในการประกอบพิธีอีกด้วย 3.สามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์อันเป็นบทสวดขับร้อง บทสวดในสามเวทสัมหิตามีจำนวน 1,549 บท ในจำนวนนี้มีเพียง 75 บท ที่มิได้ปรากฏในฤคเวท ส่วนอาถรรพเวท หรือที่เรียกกันว่า อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยมนต์หรือคาถาต่างๆ อาถรรพเวท (Atharvaveda) เป็นคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเวทมนต์ คาถาต่างๆ ต่อมาคัมภีร์ทั้งสี่ได้กลายมาเป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาฮินดู เป็นศาสนาที่รวมพระเจ้าในทุกสิ่งอย่างจึงปรากฏว่า มีพระเจ้ามากมาย

เทวราชาผู้เปี่ยมด้วยพระบารมี!! ความเชื่อโบราณ “พระมหากษัตริย์ไทย” ทรงเป็นดั่ง “องค์สมมติเทพของพระนารายณ์” อวตารลงมาดูแลทุกข์สุขของปวงประชา!!

March 12, 2020 shantideva edit 0

เราท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินคำว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพ ซึ่งทุกคนต่างก็ยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ เพราะ เป็นเรื่องของการเทิดพระเกียรติยกย่อง ให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือปุถุชนธรรมดา และความเชื่อเช่นนี้ ก็ไม่เคยก่อให้เกิดปัญหาใดๆต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราชาวไทย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป มิใช่สิ่งงมงาย ล้าหลัง และการสร้างองค์พระนารายณ์ประกอบพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระบรมศพพระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรามีความเชื่อที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็น องค์สมมติเทพของพระนารายณ์ อวตารลงมาปราบทุกข์เข็ญในโลกมนุษย์ ตามความเชื่อโบราณ สมัยกรุงศรีอยุธยามีการปกครองแบบราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราชโดยสมบูรณ์แบบคืออำนาจอยู่ที่กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวโดยเชื่อถือตามคติพราหมณ์ตามแบบพวกเขมรว่ากษัตริย์เป็นผู้ได้รับอำนาจจากสวรรค์ฐานะของกษัตริย์จึงเป็น “สมมติเทพ” ทรงมีอำนาจที่จะกำหนดชะตาชีวิตของใครก็ได้จึง เรียกระบบการปกครองนี้ว่า“ระบบเทวสิทธิ์”(Divine Right) ลักษณะการปกครองเป็นแบบนายปกครองบ่าวหรือ “เจ้าปกครองไพร่ ฐานะของกษัตริย์กับประชาชนจึงห่างไกลกันข้าราชบริพารเป็นสื่อกลางระหว่างกษัตริย์ และประชาชน จึงเกิดเป็นระบบเจ้าขุนมูลนายหรือศักดินาขึ้นระบบเจ้าขุนมูลนายหรือศักดินาเกิดขึ้นเพราะกรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาวะสงครามตลอดเวลาจึงจำเป็นต้องให้พลเมืองทุกคนอยู่ในสังกัดของเจ้าขุนมูลนายเพื่อว่าเมื่อมีศึกสงครามพระมหากษัตริย์จะได้สั่งการให้เจ้าขุนมูลนายเกณฑ์ไพร่พลมาช่วยทำสงครามป้องกันบ้านเมืองได้ คติเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยว่าตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งคติความเชื่อดังกล่าวนี้ถือว่าพระมหากษัตริย์ก็คือร่างอวตารของเทพเจ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อปกครองคนในชาติให้เกิดความสุขสงบความร่มเย็น โดยเทพเจ้าที่ว่านั้นก็เป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เรียกกันว่าพระตรีมูรติ โดยแบ่งการปรากฏออกเป็น 3 มหาเทพ คือ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์

No Image

ตำนานทวยเทพ “ธอร์” เทพเจ้าสายฟ้า ในตำนานท่านจะเฟี้ยวเหมือนในหนังหรือเปล่านะ…

February 19, 2020 shantideva edit 0

ธ อร์ที่เรารู้จักกันในคอมมิคหรือภาพยนตร์ในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ชาวแอสการ์ดในอีกโลกหนึ่งในโลกแห่งสายฟ้าที่อยู่ในตำนานปรัมปราของพวกเขาเหมือนกัน วันนี้เราจะมาเล่าเรื่องราวของเทพอสูรสายฟ้าในตำนานที่เล่าขานกันว่าจะเป็นอย่างไรหรือจะเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ในภาพยนตร์หรือไม่ก็ต้องให้ผู้ชมได้รับชมกัน เอาเอง ในตำนานทวยเทพของนอร์ส ธอร์ เป็นชายวัยกลางคนที่มีสีผมและหนวดเคราสีแดง ถืออาวุธประจำกายเป็นค้อนทรงอานุภาพที่เรียกว่า “โยเนียร์” ธอร์เป็นนักรบที่แข็งแกร่ง แถมยังมาพร้อมกับพลังแห่งสายฟ้า เขามักเข้าต่อสู้กับ โยตุน เผ่าพันธุ์ประหลาด และ จอร์มันแกรน งูยักษ์ที่ถูกทำนายว่าจะทำให้เหล่าทวยเทพถึงคราวินาศ                                                                                              เทพเจ้าแห่งสายฟ้า ในตำนานทวยเทพของนอร์ส ธอร์นั้นถือเป็นคนสำคัญอันดับสองรองลงมาจากโอดินผู้เป็นบิดา แต่นอกจากชาวนอร์สแล้ว ยังมีชาวเยอรมันอีกบางส่วนที่นับถือว่าธอร์เป็นเทพเจ้าแห่งสายฟ้า แต่อาจจะเรียกด้วยชื่อที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะเรียกด้วยชื่อไหน ต่างก็แปลว่า “สายฟ้า” ทั้งสิ้น ในส่วนรูปลักษณ์ของธอร์ ว่ากันว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนมาพร้อมหนวดเคราและดวงตาสีแดง เขาเป็นบุตรแห่งโอดินและโยโรเทพีแห่งผืนดิน ส่วนภรรยาของธอร์ ก็กล่าวกันว่าคือ ซิฟ นอกจากนี้ ธอร์ยังถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาเทพของนอร์สอีกด้วย แต่จะถูกมองว่าสติปัญญาไม่สูงเท่าใดนัก โยตุนผู้เป็นศัตรูมักกลั่นแกล้งให้ธอร์ใช้ปัญญาอยู่เสมอ ธอร์ยังมีอารมณ์ฉุนเฉียว โมโหง่าย หากใครกล้าหยอกล้อ หรือล้อเลียน เขาจะหยิบโยเนียร์ไปฟาดทันที และชาวนอร์สก็เชื่อว่าที่มีสายฟ้าฟาดลงมายามฝนตก ก็เพราะว่าธอร์กวัดแกว่งค้อนโยเนียร์นั่นเอง อาวุธศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ทราบกันดีว่า ค้อนโยเนียร์ คู่ใจของเทพเจ้าธอร์นั้นถูกตีขึ้นโดยเผ่าคนแคระ โยเนียร์จึงเป็นอาวุธที่มีพลังต่างๆ ในตัวเอง เช่น เมื่อขว้างออกไปแล้ว มันสามารถถูกเรียกให้กลับมาหาตัวผู้ขว้างได้อีกด้วย แต่นอกจากค้อนโยเนียร์ที่เราเห็นแล้ว ธอร์ยังมีเข็มขัดวิเศษ เม็กกิ้งจาร์ด ที่หากใครสวมใส่แล้วจะมีพละกำลังเพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่า ที่ต่างไปจากในภาพยนตร์มากๆ ก็คือ เทพเจ้าธอร์ยังมีแพะคู่ใจอีก 2 ตัวได้แก่ Tanngnjóstr และ Tanngrisnir แพะ 2 ตัวนี้เป็นผู้ลากรถลากที่เป็นพาหนะของธอร์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สุดท้ายเจ้าแพะคู่ใจของธอร์ทั้ง 2 ตัวก็ถูกฆ่านำมาทำอาหาร แต่เมื่อใดที่กระดูกของพวกมันยังไม่ถูกทำลาย เจ้าแพะก็ยังสามารถฟื้นร่างกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ภายในชั่วข้ามคืน รื่องเล่าของเทพเจ้าธอร์ ในตำนานทวยเทพของนอร์ส มีหลายเรื่องเล่าเกี่ยวกับธอร์ แต่เรื่องที่นิยมมากที่สุดมีอยู่ว่า เมื่อค้อนโยเนียร์ของธอร์ได้หายไป โลกิ น้องชายของธอร์ก็ที่ล่วงรู้ความจริงได้ว่า โยตุนตนหนึ่งชื่อ ทริม เป็นคนนำค่อนไปซ่อนเอาไว้ โดยทริมมีข้อแม้ว่าจะคืนโยเนียร์ให้ก็ต่อเมื่อ เทพีเฟรยา ภรรยาของโอดิน ยินยอมแต่งงานกับเขานั่นเอง จากนั้นธอร์และโลกิจึงรีบไปพบเฟรยา และสั่งให้นางยินยอมแต่งงานกับทริม เมื่อเป็นเช่นนั้นเทพีเฟรยาจึงโกรธเกรี้ยว ทำอย่างไรก็ไม่ยอมไปแต่งงานเป็นแน่ จากนั้นเหล่าทวยเทพทั้งหลายจึงต้องออกมาประชุมหารือกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ เทพไฮม์ดัล จึงเสนอความคิดให้ธอร์ปลอมตัวเป็นเทพีเฟรยาเพื่อแต่งงานกับทริม น่าเหลือเชื่อที่ธอร์เองก็ยอมตอบตกลงที่จะปลอมตัว ส่วนโลกิเองก็จำเป็นต้องแต่งกายเป็นหญิงสาวเช่นกัน เพื่อตบตาเป็นสาวใช้ของเฟรยา ผลสุดท้ายทริมไม่ทันสงสัย ธอร์จึงได้ค้อนโยเนียร์กลับคืน และระบายความโมโห ฆ่าทริมและเหล่าแขกที่เข้าร่วมงานจนสิ้นซาก สุดท้าย ในวันสิ้นโลกของตำนานทวยเทพชาวนอร์สที่ถูกเรียกว่า แรกนาร็อก (Ragnarok) ธอร์ก็เป็นหนึ่งในบรรดาทวยเทพที่ม้วยมรณาในเหตุการณ์นี้ ในคำพยากรณ์ธอร์จะต้องสู้กับ จอร์มันแกรน งูยักษ์แห่งโลก และถึงแม้ว่าธอร์จะเอาชนะศัตรูได้จนหมด สุดท้ายเขาจะต้องตายด้วยพิษของงูตัวนี้ เป็นไงบ้าง เรื่องราวของธอร์นั้นจะว่าต่างก็ต่างจะว่าคล้ายก็คล้ายกับหนังและการ์ตูนเหมือนกัน พูดง่ายๆ ก็คือธอร์ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ก็มีแรงบันดาลใจมาจากตำนานของนอร์สนี่เอง

เทพของยุโรป แอรีส

July 10, 2019 shantideva 0

แอรีส หรือที่ชาวโรมันเรียกว่า มาร์ส (Mars) เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม อาวุธ และชุดเกราะ และเป็นหนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัส ด้วย แอรีส เป็นเทพแห่งการสงครามเช่นเดียวกับ อธีน่า แต่ทว่าอธีน่าจะได้รับการยกย่องและบูชามากกว่า เนื่องจากอธีน่าเป็นเทพีที่ใช้สติปัญญาวางแผนในการสู้รบมากกว่า ซึ่งได้รับการบูชาในฐานะเทพีแห่งสติปัญญาด้วย ผิดกับแอรีสซึ่งมักจะใช้ความดุดันและโหดร้ายในการสงครามมากกว่า ซึ่งโฮเมอร์ กวีเอกคนสำคัญของกรีกโบราณ ยังเคยเขียนถึงพระองค์ว่า เป็นเทพที่โหดร้ายและหยาบช้า แอรีสเป็นบุตรของซีอุส มหาเทพและพระนางเฮรา มเหสีของซีอุส แอรีสเป็นเทพที่ชาวกรีกไม่นับถือบูชา เพราะถือว่าเป็นเทพที่โหดร้ายและมีเรื่องราวที่น่าอับอายเกี่ยวกับพระองค์เยอะ และถึงแม้จะเป็นเทพแห่งสงคราม แอรีสก็รบแพ้ในการสงครามหลายต่อหลายครั้ง ทั้งแก่มนุาษย์กึ่งเทพเองอย่าง เฮราคลีสและกับอธีน่า เทพีแห่งสงคราม พี่น้องของพระองค์เอง แต่แอรีสเป็นที่นับถืออย่างมากของชาวโรมัน ซึ่งเป็นชนเผ่าที่โปรดปรานการสู้รบ ถึงกับแต่งให้แอรีสเป็นบิดาของรอมิวลุส (Romulus) ผู้สร้างกรุงโรมเลยทีเดียว ในทางด้านชู้สาว พระองค์ลักลอบมีชู้กับเทพีอโฟรไดท์จนเป็นเรื่องราวใหญ่โตให้อับอายไปทั้งสวรรค์ และเป็นอพอลโล เทพแห่งดวงอาทิตย์ ที่จับผิดและแก้ไขพฤติกรรมของทั้งคู่

ประวัติของอาจารย์ …ศานติเทวะ

July 9, 2019 shantideva 0

ก่อนที่จะเล่าถึงคำสอนของผู้รจนา เราควรมาทำความเข้าใจประวัติของอาจารย์ศานติเทวะโดยย่อกันก่อน ศานติเทวะเป็นอาจารย์สอนพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ประเทศอินเดีย กล่าวกันว่าชีวิตของท่านเริ่มต้นด้วยการเป็นเจ้าชาย ประสูติในเบงกอล(Bengal) แต่ต่อมาได้สละราชสมบัติและเริ่มออกแสวงหาคุรุทางจิตจิตวิญญาณ ได้เรียนรู้ศึกษาจากคุรุหลายท่าน จนในที่สุดก็ได้มาศึกษา ปฏิบัติ เรียนรู้ศาสตร์ทั้งหลายอย่างสมบูรณ์ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาซึ่งเป็น เกมส์ยิงปลา มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ดังทีสุดในยุคนั้น เล่ากันต่อว่าอาจารย์ศานติเทวะได้บรรลุธรรมแล้ว โดยได้ร่ำเรียนถ่ายทอดวิชาโดยตรงจากพระโพธิสัตต์ซึ่งจะมาสอนในตอนกลางคืน และด้วยเหตุที่อาจารย์ศานติเทวะดำเนินชีวิตอย่างสมถะและถ่อมตัวที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจและไม่มีใครเห็นว่าอาจารย์ศานติเทวะเป็นบุคคลพิเศษที่บรรลุธรรมแล้วคนอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยนาลันทาต่างพากันคิดว่า ศานติเทวะเป็นคนต่ำต้อย ไร้ค่า ไม่ทำตัวให้เกิดประโยชน์ อันใดต่อมหาวิทยาลัยสงฆ์เลย มีแต่จะทำให้อาหารของสงฆ์สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น จนกระทั่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้มาประชุมกันและเห็นพ้องต้องกันว่า ” อาหารและปัจจัยของหมู่สงฆ์ต้องถูกจัดการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่พระรูปนี้ (หมายถึงพระอาจารย์ศานติเทวะ) กลับทำตัวไร้ค่ามีแต่กินและนอนเท่านั้น แสดงว่าพระรูปนี้ต้องสะสมกรรมชั่วมานาน และกำลังจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อผู้อื่น ดังนั้นเราต้องหาทางกำจัดเขาให้ออกไปจากมหาวิทยาลัยสงฆ์ของเรา” ในทุก ๆ เดือนที่มีการประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ ที่เหล่าอาจารย์จะต้องมาอ่านพระสูตรและแสดงธรรม ด้วยความไม่รู้ที่ว่าแท้จริงแล้วอาจารย์ศานติเทวะได้บรรลุธรรมแล้ว เนื่องจากลักษณะภายนอกที่ดูต่ำต้อยที่ท่านแสดงออก สงฆ์เหล่านั้นจึงวางแผนกันว่าจะนิมนต์ให้ศานติเทวะขึ้นอ่านพระสูตรและแสดงธรรม ซึ่งเชื่อว่าอาจารยืศานติเทวะจะต้องทำไม่ได้ และจะต้องรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก สุดท้ายต้องออกไปจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จากการที่เหล่าสงฆ์ได้ร่วมกันวางแผนที่จะกลั่นแกล้งอาจารย์ศานติเทวะให้ได้รับความอับอาย ด้วยการนิมนต์ให้ท่านขึ้นมาอ่านพระสูตรและแสดงธรรม และเพื่อจะทำให้อาจารย์ศานติเทวะรู้สึกอับอายมากขึ้น สงฆ์เหล่านั้นก็จงใจตั้งธรรมาสน์ให้สูง แล้วนิมนต์อาจารย์ศานติเทวะขึ้นนั่งแสดงธรรม ซึ่งท่านก็ตอบรับคำนิมนต์นั้น แต่ทันทีที่ท่านเอื้อมมือไปแตะธรรมมาสน์นั่นเอง ธรรมาสน์ที่เคยสูงก็กลับค่อย ๆ เลื่อนลดต่ำลงมาให้อาจารย์ศานติเทวะขึ้นนั่งได้อย่างสะดวก แล้วก็หันกลับไปถามเหล่าสงฆ์ว่า ” พวกท่านต้องการจะฟังพระสูตรที่มีอยู่แล้ว หรือ จะฟังอะไรใหม่ ๆ ” เหล่าสงฆ์พากันประหลาดใจอย่างมาก แต่ด้วยความเชื่อที่ว่าอาจารย์ศานติเทวะไม่มีความรู้ใด ๆ จึงพากันขอให้ท่านแสดงอรรถกถาของตัวท่านเอง และ นี่คือจุดเริ่มต้นของคำสอนใน “โพธิสัตตวจรรยาวตาร” และ เมื่อท่านแสดงจนถึงบทที่ว่าด้วยปัญญา ตัวท่านก็ลอยสูงขึ้น สูงขึ้นไปในอากาศจนกระทั่งหายลับไป เมื่อเหล่าสงฆ์ได้ฟังคำสอนเรื่อง “โพธิสัตตวจรรยาวตาร” ก็รู้สึกเสียใจที่คิดและแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีต่ออาจารย์ศานติเทวะ จึงพากันออกตามหาท่านแต่ก็ล้มเหลว จนกระทั่งก็มีผู้ไปพบอาจารย์ศานติเทวะบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง ผู้คนและคณะสงฆ์ที่ออกตามหาก้พากันไปเฝ้าดู และสังเกตุเห็นว่ามีกวางตัวหนึ่งเดินหายเข้าไปในถ้ำที่อาจารย์ศานติเทวะพำนักอยู่ โดยไม่กลับออกมาอีกเลย ทุกคนจึงพากันคิดว่าอาจารย์ศานติเทวะต้องฆ่ากวางเพื่อเอาเนื้อมากินแน่ จึงพากันเดินขึ้นไปบนถ้ำเพื่อจะเข้าไปทำร้ายท่าน แต่เมื่อถึงปากทางเข้าถ้ำ ปรากฎว่ามีกวางจำนวนมากมายตบแต่งด้วยเครื่องประดับอันสวยงามพากันเดินออกมาจากถ้ำโดยมีอาจารย์ศานติเทวะเดินตามมารั้งท้าย แท้ที่จริงแล้ว การที่กวางเหล่านั้นหายเข้าไปในถ้ำเป็นเวลานาน ๆ ก็้้เพื่อไปฟังธรรมจากอาจารย์ศานติเทวะนั่นเอง เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายและเหล่าสงฆ์ต่างก็รู้สึกละอายใจ และพากันไปสารภาพผิดต่ออาจารย์ศานติเทวะและขอให้อาจารย์ศานติเทวะเมตตาถ่ายทอดธรรมให้นับตั้งแต่นั้นมา สำหรับคำสอนในเรื่อง โพธิสัตตวจรรยาวตาร ของอาจารย์ศานติเทวะนี้ ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะคำสอนในเรื่องการสอนโพธิจิต อันเป็นรากฐานที่สำคัญสู่เส้นทางเดินแห่งโพธิสัตตมรรค ถึงยุคสมัยก่อนนั้น ไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย อย่างไรก็ตามคำสอนโพธิสัตตวจรรยาวตารก็มิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของพระพุทธองค์เช่นเดียวกัน เพียงแต่โพธิสัตตวจรรยาวตารนี้เป็นอรรถกถาอาจารย์ศานติเทวะตามความรู้และการปฏิบัติตามที่ท่านได้ทำมา ในบทนำของโพธิสัตตวจรรยาวตาร อาจารย์ศานติเทวะกล่าวไว้ว่า ” อรรถกถาเหล่านี้อาจจะไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่อย่างน้อยที่สุดอรรถกถาเหล่านี้เอื้อประโยชน์อย่างสูงต่อตัวอาตมา และ สารธารแห่งจิตของอาตมา ” การที่อาจารย์ศานติเทวะกล่าวเช่นนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นวิถีแห่งอาจารย์เชิงพุทธธิเบตที่จะพยายามลดทิฐิมานะ ยึดมั่นในอัตตาตัวตนของตนเองออกเสียและยกย่องผู้อื่นด้วยความนอบน้อมถ่อมตนเพื่อเป็นหนทางในการช่วยขจัดทิฐิมานะหยิ่งทะนงในอัตตาตัวตนออกไปเสีย อรรถกถาโพธิสัตตวจรรยาวตาร จะประกอบไปด้วยทั้งสิ้น 10 บท คือ

เทพของยุโรปไดอะไนเซิล

July 8, 2019 shantideva 0

ไดอะไนเซิส ใน ตำนานเทพเจ้ากรีก “ไดอะไนเซิส” เป็นเทพเจ้าแห่งไวน์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจของความประเพณีความคลั่งและความปิติอย่างล้นเหลือ (ecstasy) และเป็นเทพองค์ล่าสุดในสิบสองเทพโอลิมปัส ที่มาของไดอะไนเซิสไม่เป็นที่ทราบ แต่ตามตำนานว่าได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ เทพไดโอไนซูส เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า แบคคัส เทพแห่งเมรัย และไวน์องุ่น เป็นบุตรของเทพซูสกับนางซิมิลี่ ซึ่งเป็นมนุษย์ ธิดาแห่งกรุงเธป เทพซูสได้แปลงกายเป็น มนุษย์รูปงามลงมาโลกมนุษย์ เพราะเกรงว่ามเหสี พระนางเฮร่า จะรู้เข้า และกลัวว่านางซิมิลี่จะเกรงกลัวในรัศมีของพระองค์ และในที่สุด ก็ได้นางเป็นชายาอีกองค์ แต่แล้ว พระนางเฮร่า ก็รู้เข้า จึงได้แปลงกายมาเป็นคนรับใช้ของนางซิมิลี่ มาหลอกล่อให้นางอยากเห็นรูปร่างที่แท้จริงของเทพซุส ไดอะไนเซิสผู้เป็นเทพของการเกษตรกรรม และการละคร นอกจากนั้นก็ยังรู้จักกันในนามว่า “ผู้ปลดปล่อย” (Liberator) ที่ปลดปล่อยส่วนลึกของตนเองโดยทำให้คลั่ง หรือให้มีความสุขอย่างล้นเหลือ หรือด้วยเหล้าองุ่น หน้าที่ของไดอะไนเซิสคือเป็นผู้สร้างดนตรีออโลส (aulos) และยุติความกังวล นักวิชาการถกกันเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไดอะไนเซิสกับ “คตินิยมเกี่ยวกับวิญญาณ” และความสามารถในการติดต่อระหว่างผู้ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ตายไปแล้ว