องค์ประกอบของศาสนาคริสต์

องค์ประกอบของศาสนาคริส-1

พระเจ้าในศาสนาคริสต์

พระเยโฮวาห์

พระยาเวห์ หรือพระยะโฮวา เป็นพระนามของพระเจ้าองค์สูงสุดที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิล ภาคภาษาฮีบรูหรือที่พระศาสนจักรเรียกว่าพันธสัญญาเดิม ในพระคัมภีร์ฉบับแปลในภาษาไทยเล่มเก่านั้นปรากฏพระนามนี้อยู่มากทีเดียว ในคัมภีร์ดั้งเดิมเขียนด้วยอักษร 4 ตัวแต่เนื่องจากอักษร 4ตัว (ยฮวฮ.) นั้นผู้เขียนไม่ได้ใส่สระไว้ทำให้การออกเสียงที่ถูกต้องจึงถูกถ่ายทอดต่อกันมาโดยการพูด พระคัมภีร์ดังเดิมหรือต้นฉบับนั้นมีปรากฏพระนามนี้หลายพันครั้งหรือแม้แต่ในฉบับภาษาไทยเล่มเก่าๆยังปรากฏพระนามนี้อยู่ การแปลในยุคต่อๆมาได้ตัดพระนามนี้ทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นคำพระเจ้าแทนถ้ายังมีปรากฏอยู่บ้างจะสะกดว่าพระยาเวห์ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Yaweh ยาเวห์ คือพระนามของพระเจ้าองค์สูงสุดซึ่งปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่ถึงอย่างไรก็ตามในต้นฉบับดั้งเดิมนั้นปรากฏพระนามนี้ประมาณ 7 พันครั้ง* ความหมาย : ในภาษาฮีบรู ยาเวห์ แปลว่า ผู้ทรงบันดาลให้เป็น ซึ่งก็คือ พระองค์ทรงฤทธิ์ที่จะเป็นอะไรก็ได้ตามพระประสงค์ของพระองค์

ความเป็นลักษณะ : พระองค์มีคุณลักษณะที่เด่นหลายประการ เช่น ความรัก,อำนาจ,ยุติธรรม,สติปัญญา ฯลฯ

ราชกิจของพระเจ้า : ตามบันทึกในพระคัมภีร์ ไบเบิล ในหนังสือปฐมกาล
– 1:1 กล่าวว่า เมื่อเดิม พระเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างฟ้าและดิน
– ข้อ 11 กล่าวว่า ได้ทรงให้มีต้นไม้เกิดผลต่าง ฯ เกิดขึ้น
– ข้อ 16 พระองค์สร้างดวงสว่างไว้ 2 ดวง ดวงใหญ่รักษาวัน ดวงเล็กรักษาคืน
– ข้อ 20 ทรงสร้างฝูงสัตว์ให้มีอยู่ในน้ำ
– ข้อ 24 ทรงสร้างฝูงสัตว์ให้เกิดขึ้นที่แผ่นดิน
– ข้อ 27 ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นให้เป็นชายและหญิง
– บท 2:8 พระองค์ได้ทรงสร้างสวนเอเดนให้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์คู่แรก คืออาดัมและเอวา

ศาสดาในศาสนาคริสต์

พระเยซู พระเยซู (Jesus)

พระเยซู พระเยซู (Jesus) หรือ เยซูแห่งนาซาเรธ (อังกฤษ: Jesus of Nazareth; 4 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 30) เป็นชาวยิวซึ่งเป็นศาสดาของคริสต์ศาสนา ชาวคริสต์เรียกเยซูแห่งนาซาเร็ธว่า พระเยซูคริสต์ และถือว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเจ้าเอง และเป็นหนึ่งในพระตรีเอกานุภาพ คำว่า “เยซู” มาจากคำในภาษากรีกคือ “อิเอซูส” Ιησους [Iēsoûs] ซึ่งมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาอาราเมกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า “ยาซูอฺ” ตามภาษาซีเรียค ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า “อีซา” ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ “ผู้ช่วยให้รอด” เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมา ภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ ส่วนคำว่า “คริสต์” เป็นสมญาซึ่งมาจากคำในภาษากรีกว่า “คริสตอส” Χριστός [Christos] ซึ่งเป็นคำแปลของคำภาษาฮีบรู Messiah อันหมายถึง “ผู้ได้รับการเจิม” ชาวอาหรับเรียกว่า “มะซีฮฺ” ซึ่งหมายถึงการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สูงส่ง เช่น กษัตริย์มหาปุโรหิต ศาสดาประกาศก เป็นต้น เมื่ออาณาจักรยูดาห์เสียแก่บาบิโลน ก็สิ้นกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม ต่อจากนั้น ชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ที่จะมาสร้างอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า “คริสต์” จึงเป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อตัว ผู้นิพนธ์พระวรสารชอบเรียกพระผู้ไถ่ว่า “เยซู” และเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่นๆที่ชื่อเหมือนกัน ก็เรียกเป็น “เยซูชาวนาซาเร็ธ” หรือ “เยซูบุตรของโยเซฟ” แต่นักบุญเปาโลหรืออัครทูตเปาโลชอบเรียกว่า “พระคริสต์” หรือ “พระเยซูคริสต์” ที่เรียกว่า “พระคริสต์เยซู” ก็มีบ้าง

การตรึงที่กางเขนและการเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์

การตรึงที่กางเขนและการเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์

พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ระบุว่า พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนตั้งแต่เช้า “เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง” และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในเวลาบ่าย “เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’ ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์” หลังจากนั้นพระองค์ทรงเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 “แต่เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขาได้จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ เขาเหล่านั้นเห็นก้อนหินกลิ้งพ้นจากปากอุโมงค์แล้ว และเมื่อเข้าไปมิได้เห็นพระศพของพระเยซูเจ้า” “หญิงเหล่านั้นก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็ว ทั้งกลัวทั้งยินดีเป็นอันมาก วิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จพบเขาและตรัสว่า ‘จงจำเริญเถิด’ หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า ‘อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น'” บุคคลที่พระเยซูทรงปรากฏให้เห็นก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ได้แก่ มารีย์ชาวมักดาลา, เคลโอปัสและศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชื่อ, สาวกทั้งสิบเอ็ดคน, สาวกเจ็ดคน พระเยซูทรงประทับอยู่กับเหล่าสาวกราว40วัน และเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา “เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา”

ปีคริสต์ศักราช

การกำหนดคริสต์ศักราชเกิดขึ้นหลายร้อยปีหลังจากพระเยซู เสด็จขึ้นสวรรค์ แต่วิจัยในเชิงวิชาการพบว่า มีองค์ประกอบบางอย่างที่บ่งบอกว่าวันที่พระเยซูคริสต์ถือกำเนิดนั้น อาจไม่ใช่วันที่ 25 ธันวาคม และอาจไม่ใช่แม้แต่เป็นเดือนธันวาคม ทั้งตำแหน่งดาวบนท้องฟ้า และภูมิอากาศหลาย ๆ อย่าง จากการวิเคราะห์โดยนักประวัติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์และนักคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ พบว่า วันที่พระเยซูคริสต์ประสูตินั้น จริง ๆ อาจจะ เป็นวันที่ 17 เมษายน 6 ปีก่อนคริสตกาล (พ.ศ. 538) ตามปฏิทินเกรกอเรียน

ศาสนธรรมในศาสนาคริสต์

คัมภีร์ของศาสนาคริสต์

ศาสนาคริสต์ และศาสนายูดาย ต่างให้ความเคารพในคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยถือว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพระวาจาของพระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนหนทางแห่งความรอดจากทุกข์ทั้งปวง อาจารย์เสรี พงศ์พิศ (เสรี พงศ์พิศ. 2531 : 102) ได้ให้ความหมายของ “ไบเบิล” (Bible) ว่า “หนังสือหลายเล่ม” เพราะเป็นความหมายที่ได้มาจากศัพท์ภาษาละตินและภาษากรีก คือ “บีบลีอา” (Biblia) ซึ่งเป็นพหูพจน์ของ “บีบลีออน” (Biblion) แต่ภาษาอังกฤษใช้ไบเบิล (Bible) และการที่เรียกว่าไบเบิลนี้ อาจเป็นเพราะคัมภีร์ไบเบิลประกอบด้วยหนังสือหลายเล่มแล้วนำมารวมเป็นเล่มเดียวกัน ในเล่มเดียวกันนี้ต่อมาแบ่งเป็นสองภาค คือ ภาคพันธสัญญาเดิม (The Old Testament) ซึ่งเขียนเป็นภาษาฮิบรูเกือบทั้งหมด มีบางส่วนที่เขียนเป็นภาษาอารามาอิคและภาษากรีก ไบเบิลในภาคนี้เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนายูดายและศาสนาคริสต์ จึงเป็นที่ยอมรับของทั้งสองศาสนานี้ว่า มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องสมบูรณ์

  • คัมภีร์เก่า ( Old Testament ) หรือพันธสัญญาเดิมเป็นบันทึกเรื่องราวก่อนพระเยซูประสูติ
  • คัมภีร์ใหม่ ( New Testament ) หรือพันธสัญญาใหม่เป็นบันทึกเรื่องราวหลังจากที่พระเยซูประสูติ

ในภาคพันธสัญญาเดิมนี้ประกอบไปด้วยข้อเขียนต่าง ๆ ทั้งหมด 46 เล่ม (แต่ในคริสต์ศาสนาโปรเตสแตนต์หลายนิกายยอมรับเพียง 39 เล่ม) สำหรับภาคพันธสัญญาใหม่ (The new Testament) เป็นส่วนที่ยอมรับกันในหมู่ชาวคริสต์เท่านั้น ประกอบไปด้วยหนังสือหรือข้อเขียน27 เล่ม ซึ่งเป็นบันทึกประวัติและคำสอนของพระเยซูที่เรียกว่า “พระวรสาร” (The Gospels) มีจำนวน 4 เล่ม หนังสือกิจการอัครธรรมทูต 1 เล่ม จดหมายของบรรดาสาวกถึงคริสตชนในที่ต่าง ๆ 21 เล่ม และหนังสือวิวรณ์ 1 เล่ม พระวรสาร 4 คัมภีร์ (The Gospels) คัมภีร์ไบเบิลในส่วนที่เป็นพระวรสาร 4 คัมภีร์ เป็นหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุดและ มีผู้วิจารณ์กันมากที่สุด ซึ่งมีดังนี้คือ

  • พระวรสารของนักบุญมัทธิว (มธ.) มีจำนวน 28 บท
  • พระวรสารของนักบุญมาระโก (มก.) หรือมาร์ค (Mark) มีจำนวน 16 บท
  • พระวรสารของนักบุญลูกา (ลก.) หรือลูค (Luke) มีจำนวน 24 บท
  • พระวรสารของนักบุญยอห์น (ยน.) มีจำนวน 21 บท

เนื้อหาในพระวรสารเกี่ยวกับการเทศน์สอนสาวก เพื่อยืนยันสิ่งที่พวกเขาได้ประสบมาในขณะที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระเยซู และยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์บุตรของพระเจ้า ดังนั้นพระวรสารทั้ง 4 เล่มนี้ จึงเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับชีวิต และคำสอนของพระเยซูที่ไม่ธรรมดาเหมือนหนังสือประวัติบุคคลทั่วๆ ไป

คัมภีร์ไบเบิล

ไบเบิล ( Bible) (มาจากภาษากรีกว่า บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) พระคริสตธรรมคัมภีร์ เป็นหนังสือที่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า, มนุษย์, ความบาป และแผนการของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาป สู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดายของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อเช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture)

คัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาเดนมาร์กของคริสเตียนที่ 3 แห่งเดนมาร์ก พิมพ์ในกรุงโคเปนเฮเกน ในปี ค.ศ. 1550 จำนวน 3,000 เล่ม คริสตชนทุกคนเชื่อว่า พระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอนนั้นได้รับการดลใจจากพระเจ้า ผ่านทางมนุษย์ที่ถูกเลือกให้เขียนพระคัมภีร์ในบทนั้นๆมีจำนวน 73 เล่ม ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิม กับพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูเจ้าประสูติ ส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาฮีบรู มีบางส่วนถูกเขียนด้วนภาษากรีก และภาษาอิยิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเจ้าประสูติแล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูเจ้าตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมานและการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซูเจ้า การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระจิตเจ้ามายังอัครสาวก ประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าแล้ว การเบียดเบียนพระศาสนจักรในรูปแบบต่างๆ พันธสัญญาใหม่ทั้งหมดเขียนเป็นภาษากรีก โดยเหล่านักบุญอัครสาวก

ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมถูกนำมารวมเล่มเมื่อใดและอย่างไร แต่ในสมัยของพระเยซู พระคัมภีร์เดิมก็ได้ถูกรวบรวมไว้อย่างครบถ้วนแล้ว แต่ถึงแม้จะไม่ทราบความเป็นมา ก็ยังมีเหตุผลเชื่อถือได้ว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่มีอยู่ทุกวันนี้ คงความถูกต้องทุกคำพูดมาจากสมัยแรกของอิสราเอล เนื่องจากขั้นตอนการคัดลอกพระคัมภีร์ของชาวยิวมีความเคร่งครัดมาก หากพบข้อผิดพลาดหรือตำหนิอย่างใด จะไม่แก้ไขแต่ทำลายทิ้งแล้วเริ่มคัดลอกใหม่หมด

หลักคำสอนของศาสนาคริสต์

บรรดาคำสอนทั้งหลายของพระเยซูนั้นเทศนาบนภูเขา (Sermon on the Mount) เป็นคำสอนที่จัดเป็นระบบมากที่สุด และแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ของพระเยซูที่ต้องการปฏิรูปชีวิตมนุษย์ไปสู่หนทางที่ถูกต้อง อีกทั้งเป็นหลักจริยธรรมที่พระองค์ทรงมอบให้แก่มนุษย์ทุกคนได้ปฏิบัติเพื่อความสุขในโลกนี้และโลกหน้า ซึ่งควรแก่การศึกษา โดยตัดมาบางข้อพอเป็นสังเขปและจัดเรียงหัวข้อตามที่ปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่