อภิญญามีสภาพไม่เหมือนกัน
เรื่องของอภิญญา คนส่วนใหญ่เมื่อฟังว่าอภิญญาแล้วก็มักจะคิดว่า ท่านที่ได้อภิญญาจะต้องมีความรู้แจ่มใสเหมือนพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่าง เป็นการเข้าใจผิดถนัด พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูคือ มีบารมีเป็นจอมอรหันต์ ย่อมทรงอภิญญาดีเลิศเป็นพิเศษ สำหรับพระสาวกที่ได้มีกำลังไม่เท่ากัน และไม่มีทางจะไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าได้เลย จะเปรียบให้ฟัง เอาเพียงทิพยจักษุญาณอย่างเดียว อย่างอื่นให้เข้าใจว่าเหมือนกัน 1. ทิพยจักษุญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสว่างคล้ายพระอาทิตย์ส่องแสงจัด ไม่มีเมฆบัง ไม่มีเผลอ ไม่มีพลาดในการเห็น2. ของพระปัจเจกพุทธเจ้า มีความสว่างเหมือนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง มองเห็นคนกลางคืนเมื่อเดือนหงายมีสภาพอย่างไร ต่างกับกลางวันอย่างไร พิสูจน์เอาเอง3. พระอัครสาวกทั้งสอง มีความสว่างเหมือนคบเพลิงดวงใหญ่สว่าง แต่แสงสว่างไม่ไกลเหมือนความสว่างของดวงจันทร์4. ของพระอรหันต์สาวก สว่างเหมือนแสงตะเกียงดวงน้อย5. ของท่านที่ได้ฌานโลกีย์ สว่างเหมือนอากาศเมื่อพระอาทิตย์ลับแล้ว กำลังมัวตา มองดูอะไรก็ไม่เห็นถนัดนัก ข้อเปรียบเทียบนี้ยังไม่ละเอียดพอ แต่เกรงว่าลูกหลานจะเบื่อฟัง เอามาเปรียบเทียบเพียงย่อ ๆ ท่านที่ได้ฌานและอภิญญาไม่ใช่รู้อะไรหมด ยิ่งเป็นฌานโลกีย์ด้วยแล้ว ยิ่งมีจังหวะพลาดง่ายเหลือเกิน เพราะมีอุปาทานมาก ต้องระวังให้มาก ถ้าไม่ประมาทคิดว่าตัวดีไม่เป็นไร ถ้าประมาทเมื่อไรเจ๊งเมื่อนั้น สำหรับพระอริยท่านรู้ว่าท่านไม่ดีเสมอ ไม่มีความประมาท เรื่องเจ๊งไม่มี ทีนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องที่เล่ามาแล้ว ที่ฉันบอกเห็นอะไร ไปไหน คิดอะไร แล้วหลวงพ่อปาน รู้เรื่องที่บอกมา ไม่ใช่ฉันอวดตัวฉัน ที่บอกก็เพื่อให้ทราบว่าหลวงพ่อปานท่านรู้อภิญญา ที่เราเรียกว่าทิพยจักษุญาณ แต่ที่แท้แล้วญาณต่าง ๆ ของอภิญญามีชื่อหลายอย่าง จะนำมาเล่าให้ฟัง