องค์ประกอบของศาสนาอิสลาม

วิถีชีวิตแห่งอัลอิสลามประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ

(อับดุลการีม ซัยดาน, 1984 : 14 )

1 . การยอมรับศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
2 . การยอมรับและปฏิบัติตามรอซูล
3 . ประกอบคุณงามความดีในทุกๆ กิจการของการดำรงชีวิต

องค์ประกอบทั้ง 3 ประการดังกล่าวนี้ครอบคลุมตั้งแต่การอีมานต่ออัลลอฮฺ การอิตติบาอฺ (ปฏิบัติตามรอซูล) และการประกอบอามัลซอและห์

1 . การยอมรับศรัทธาต่ออัลลอฮฺ

ดังหะดีษที่ท่านศาสดา กล่าวไว้ว่า

يامحمد اخبرنى عن الاسلام فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم الاسلام ان تشهدان الا اله الا الله وان محمدا رسول الله وتقيم الصلاة وتؤتى الزكاة وتصوم رمضان وتحج البيت ان اسطعت إليه سبيلا.

متفق عليه

ความว่า “ ยิบรีล ถามท่านศาสดาว่า (โอ้มูฮัมมัด)จงบอกให้ฉัน ที่เกี่ยวกับอัลอิสลาม ท่านศาสดาตอบว่า อัลอิสลามนั้น คือการกล่าวปฏิญาณตนยอมรับว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้นและกล่าวยอมรับว่ามูฮัมมัดนั้นเป็นศาสนฑูตของอัลลอฮฺและพร้อมกันนั้นก็ดำรงการละหมาด ออกทานซะกาต ถือศีลอดในเดือนรอมฎอ นและไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะห์ สำหรับผู้มีความสามารถ ” (หะดิษรายงานที่สอดคล้องกันโดยบุคอรีและมุสลิม)

จากหะดีษนี้ สรุปได้ว่า องค์ประกอบประการแรกของอัลอิสลามคือ การยึดมั่นศรัทธาต่ออัลลอฮฺ พระองค์เป็นผู้ทรงสร้างมนุษย์ สร้างฟากฟ้าแผ่นดิน และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ระหว่างทั้งสอง พระองค์เป็นผู้บริหารกิจการแห่งจักรวาลที่พระองค์สร้างขึ้นมาเพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์มีคุณลักษณะและพระนามอันดีเลิศ คุณลักษณะของพระองค์นั้นไม่เหมือนกับสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น

ดังพระองค์กล่าวในอัลกุรอานว่า

ศาสนาอิสลาม-1

แปลว่า “ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์อัลลอฮฺ ”

ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงต้องเคารพสักการะต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น สิทธิแห่งการได้รับการเคารพสักการะนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺเพียงผู้เดียว มนุษย์จะแบ่งเอาหรือมอบสิทธินี้แก่สิ่งอื่นใดไม่ได้ สิทธินี้เรียกว่า สิทธิแห่งความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ( الهية ) และผู้ใดก็ตามที่กล่าวยอมรับในอัลลอฮฺ พร้อมทั้งมอบสิทธิแห่งความเป็นพระเจ้าแด่อัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้น แน่นอนอัลลอฮฺฮจะตอบแทนเขาด้วยสวรรค์ของพระองค์ ในขณะเดียวกันผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธสิทธิอันนี้ หรือมอบสิทธินี้แด่อัลลอฮฺ และมอบแด่สิ่งอื่นด้วย ในลักษณะที่เรียกว่าตั้งภาคีนั้น แน่นอนอัลลอฮฺจะลงโทษเขาในนรกของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านศาสดามูฮัมหมัด กล่าวว่า

عَنْ جَابِرٍ قَالَ أَتَى النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهم عَلَيْهِ وَسَلَّمَ رَجُلٌ فَقَالَ يَا رَسُولَ اللَّهِ مَا الْمُوجِبَتَانِ قَالَ مَنْ مَاتَ لَا يُشْرِكُ بِاللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ شَيْئًا دَخَلَ الْجَنَّةَ وَمَنْ مَاتَ يُشْرِكُ بِاللَّهِ دَخَلَ النَّارَ

ความว่า “ ท่านญาบิรรายงานว่ามี ซอฮาบะฮฺท่านหนึ่งถามท่านนบีว่า สองสิ่งที่แน่นอนนั้นคืออะไร โอ้ท่านรอซูลท่านตอบว่า คือผู้ใดก็ตามที่เสียชีวิตโดยไม่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺกับสิ่งอื่นใดทั้งสิ้นเขาจะได้เข้าสวรรค์ และผู้ใดก็ตามที่เสียชีวิตในขณะที่เขาตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺเขาจะต้องเข้านรก ” ( รายงานโดยอัหหมัด : 14667)

องค์ประกอบนี้เป็นองค์ประกอบทางด้านอุดมการณ์ของมนุษยชาติในทุกยุคทุกสมัยอัลลอฮฺได้ส่งศาสนฑูตของพระองค์ทุกคนมาสอนมนุษย์ด้วยองค์ประกอบนี้เป็นสำคัญ เพราะถ้ามนุษย์ไม่มีองค์ประกอบด้านอุดมการณ์ที่ถูกต้องแล้วมนุษย์จะไม่สามารถเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้

2 . การยอมรับและปฏิบัติตามรอซูล (อิตติบาอฺ)

การศรัทธายึดมั่นในอัลลอฮฺจะใช้ได้ ก็ต่อเมื่อยอมรับและปฏิบัติตามรอซูล ของพระองค์ เพราะอัลลอฮฺส่งรอซูลมาเป็นแบบอย่างของผู้มีอุดมการณ์ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีเลิศ

ดังอัลลอฮฺกล่าวในอัลกุรอาน

ศาสนาอิสลาม-2

ความว่า “ แท้จริงในตัวของรอซูลนั้นเป็นแบบอย่างที่ดีเลิศสำหรับสูเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง(จะพบ)อัลลอฮฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก ”

ในขณะเดียวกันอัลลอฮฺได้บัญชาให้มุสลิมได้ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านรอซูลดังอัลลอฮฺกล่าวในอัลกุรอาน ความว่า

ศาสนาอิสลาม-3

ดังพระองค์กล่าวในอัลกุรอานว่า

ความว่า “ และสิ่งใดที่อัลลอฮฺทรงให้รอซูลของพระองค์ยึดมาได้จากชาวเมือง(พวกกุฟฟารฺ)สิ่งนั้นย่อมเป็นสิทธิของอัลลอฮฺและรอซูล ญาติสนิทและเด็กกำพร้า ผู้ขัดสนและผู้เดินทางเพือ่มันจะได้ไม่หมุนเวียนอยู่ในระหว่างผู้มั่งมีของพวกเจ้าเท่านั้น และการใดก็ตาม ที่รอซูลนำมาเจ้าจงรับมันเสียในขณะที่สิ่งใดก็ตามที่รอซูลห้ามเจ้าก็จงงดเว้นมันไป พวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺเถิดแท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ ”

ในอีกด้านหนึ่งอัลลอฮฺได้บัญชาให้ศรัทธาชนปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์พร้อมๆ กับการปฏิบัติตามคำสั่งของรอซูล ด้วย

ดังอัลลอฮฺกล่าวในอัลกุรอานว่า

ศาสนาอิสลาม-4

ความว่า โอ้ศรัทธาชนทั้งหลายเจ้าจงปฏิบัติตามอัลลอฮฺ ปฏิบัติตามรอซูลและปฏิบัติตามผู้ปกครองในบรรดาพวกเจ้า ดังนั้นถ้าเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปหาอัลลอฮและรอซูล หากเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮและวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยงาม ( อันนิซาอฺ :59 )

จากอายาตและหะดีษข้างต้นสรุปได้ว่าการเป็นมุสลิมนั้นจะต้องเป็นด้วยการอิตติบาอฺ (ปฏิบัติตาม) รอซูลในทุกๆ ด้านที่มีแบบอย่างกำหนดไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการปฏิบัติ อิบาดาตประเภทที่ท่านได้ทำไว้เป็นแบบอย่างแน่นอนแล้วที่เรียกว่า

3 . องค์ประกอบประการที่สามของอัลอิสลาม คือการประกอบคุณงามความดีในทุกๆ กิจการของชีวิต ( عمل صالح )

ตามหลักการของอัลอิสลามนั้นการศรัทธาหรือการยึดมั่นในอัลลอฮฺจะต้องกระทำพร้อมๆ กับการประกอบคุณงามความดีในทุกๆ ย่างก้าวของชีวิต หากไม่เช่นนั้นมนุษย์จะประสบกับภาวะการขาดทุนในการใช้ชีวิตของเขา ดังอัลลอฮฺกล่าวในอัลกุรอานว่า

ศาสนาอิสลาม-5

ความว่า “ ขอสาบานด้วยเวลาแห่งอัศริ แท้จริงมนุษย์นั้นดำรงอยู่ในสภาพของการขาดทุน เว้นแต่ผู้ที่ศรัทธาและประกอบคุณงามความดี ”

มุสลิม คือ ผู้ศรัทธาต่อหลักศรัทธาในอิสลามทั้งหมดหนึ่งในบรรดาหลักศรัทธาในอิสลามนั้นคือการศรัทธาต่อโลกหน้าการมีชีวิตที่ดีในโลกหน้าเป็นเป้าประสงค์สำคัญของอิสลาม การใช้ชีวิตในโลกนี้เป็นการเตรียมเสบียงสะสมความดีเพื่อชีวิตที่ดีในโลกหน้า อัลลอฮฺ กล่าวในอัล กุรอานความว่า

ศาสนาอิสลาม-6

แปลว่า “ จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)แท้จริงฉันเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่งเยี่ยงพวกท่านมีวะฮียฺแก่แนว่าแท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้น ผู้ใดหวังในการพบกับผู้อภิบาลของเขา ดังนั้นจงทำความดีและพร้อมกันนั้นไม่ตั้งภาคีกับสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ”

จากอายัตนี้ การประกอบกิจกรรมที่ดีนั้นต้องกระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพียงเพื่ออัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น นอกจากนั้นอามัลที่ถือว่าเป็นอามัลซอและห์นั้นต้องทำตามแบบอย่างของท่านรอซูล ดังรอซูล กล่าวว่า

عَنْ أَنَسَ بْنَ مَالِكٍ رَضِي اللَّه عَنْه يَقُولُ جَاءَ ثَلَاثَةُ رَهْطٍ إِلَى بُيُوتِ أَزْوَاجِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهم عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَسْأَلُونَ عَنْ عِبَادَةِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهم عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَلَمَّا أُخْبِرُوا كَأَنَّهُمْ تَقَالُّوهَا فَقَالُوا وَأَيْنَ نَحْنُ مِنَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهم عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَدْ غُفِرَ لَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ وَمَا تَأَخَّرَ قَالَ أَحَدُهُمْ أَمَّا أَنَا فَإِنِّي أُصَلِّي اللَّيْلَ أَبَدًا وَقَالَ آخَرُ أَنَا أَصُومُ الدَّهْرَ وَلَا أُفْطِرُ وَقَالَ آخَرُ أَنَا أَعْتَزِلُ النِّسَاءَ فَلَا أَتَزَوَّجُ أَبَدًا فَجَاءَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهم عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَيْهِمْ فَقَالَ أَنْتُمُ الَّذِينَ قُلْتُمْ كَذَا وَكَذَا أَمَا وَاللَّهِ إِنِّي لَأَخْشَاكُمْ لِلَّهِ وَأَتْقَاكُمْ لَهُ لَكِنِّي أَصُومُ وَأُفْطِرُ وَأُصَلِّي وَأَرْقُدُ وَأَتَزَوَّجُ النِّسَاءَ فَمَنْ رَغِبَ عَنْ سُنَّتِي فَلَيْسَ مِنِّي

รายงานโดยบุคอรีย์ : 4675

ความว่า “ รายงานจากท่านอนัส บินมาลิก เล่าว่าได้มีซอฮาบะฮฺ 3 ท่านมายังบ้านบรรดาภรรยาของท่านนบีแล้วได้ถามถึงการประกอบอิบาดะฮ์ของท่านนบีและเมื่อพวกเขาได้รับการชี้แจงให้ทราบแล้วปรากฎว่า พวกเขายังมีอิบาดะฮน้อยอยู่เมื่อเทียบกับท่านนบี และหนึ่งในพวกเขากล่าวว่า ” เมื่อ เทียบกับท่านนบีแล้วพวกเรายังห่างท่านมาก ทั้งๆที่ท่านนั้น เป็นผู้ซึ่งปลอดจากความผิดทั้งปวง ดังนั้นหนึ่งในพวกเขาก็กล่าวอีกว่า ถ้าเช่นนั้นฉันจะละหมาดตลอดตลอดทั้งคืนทุกคืน อีกคนกล่าวว่าฉันจะถือศีลอดทุกวัน อีกคนกล่าวว่าฉันจะไม่ยอมคลุกคลีกับสตรีอย่างเด็ดขาดเมื่อท่านนบีได้รับข่าวเช่นจึงไปหาพวกเขาและถามพวกเขาว่าจริงหรือที่พวกท่านว่าเช่นนั้น เช่นนี้แต่สำหรับฉันผู้ซึ่งเกรงกลัวที่สุดต่ออัลลอฮในหมู่พวกท่าน ยังต้องละหมาดและนอน ต้องถือศีลอดและกิน ยังต้องคลุกคลีกับสตรี ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่เบี่ยงเบนไปจากแนวทางของฉันผู้นั้นมิใช่พรรคพวกของฉัน ”

อามัลซอและมิใช่อามัลที่อุตริขึ้นมาใหม่โดยไม่มีแบบอย่างจากท่านรอซูลหรือซอฮาบะฮฺ อามัลที่อุตริขึ้นมานั้นจะเป็นอามัลที่ไม่ได้รับการยอมรับ

ดังรอซูล กล่าวว่า

من احدث فى امرنا هذا ماليس منى فهورد

 

ความว่า “ ผู้ใดที่อตริคิดค้นในกิจการของฉัน ซึ่งมันมิได้มาจากฉัน มันจะถูกปฏิเสธ ”

รอซูล กำชับให้เราระมัดระวังจากการกระทำบิดอะฮฺ (อุตริ) ดังท่านรอซูล

ดังรอซูลกล่าวว่า

فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الْمَهْدِيِّينَ الرَّاشِدِينَ تَمَسَّكُوا بِهَا وَعَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ فَإِنَّ كُلَّ مُحْدَثَةٍ بِدْعَةٌ وَكُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ

ความว่า เป็นหน้าที่ของ เจ้าที่จะต้องปฏิบัติตามแนวทางของฉันและแนวทางของบรรดาคอลีฟะฮฺผู้ได้รับทางนำ เจ้าจงยึดมั่นอย่างเข้มแข็งและมั่นคง และจงระมัดระวังจากการคิดค้น (ขึ้นมาเองในกิจการศาสนา) ทั้งนี้เพราะทุกๆ สิ่งที่คิดค้นขึ้นมาเองนั้นเป็นการอุตริ และทุกๆ การอุตรินั้นเป็นการหลงทาง ”