พระมหาโมคคัลลานเถระ อัครสาวกเบื้องซ้ายผู้มีฤทธิ์มาก

พระมหาโมคคัลลานเถระ

พระมหาโมคคัลลานเถระ นามเดิมว่า “โกลิตะ” เป็นบุตรพราหมณ์ หัวหน้าหมู่บ้านโกลิตะคาม ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านอุปติสสะคาม

พระมหาโมคคัลลานเถระ

ท่านมีเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวด้วยกันชื่ออุปติสสะ ชีวิตในวัยหนุ่มของท่าน ก็เช่นเดียวกับชีวิตพระสารีบุตร คือ ได้เป็นศิษย์ของอาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร

เมื่อเบื่อหน่ายลัทธิคำสอนของอาจารย์สัญชัย ก็พากันแสวงหาทางใหม่

อุปติสสะได้พบกับพระอัสสชิ และได้ฟังธรรมจากท่าน จนบรรลุโสดาปัตติผล จึงนำมาบอกแก่โกลิตะ โกลิตะได้ฟังก็บรรลุเป็นพระโสดาบันเช่นกัน ทั้งสองจึงพากันไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า (ดังรายละเอียดเล่าไว้แล้ว)

หลังจากบวชแล้ว โกลิตะได้นามเรียกขานในหมู่บรรพชิตว่า โมคคัลลานะ ท่านไปบำเพ็ญเพียรทางจิต ณ หมู่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แต่ไม่สามารถบังคับจิตให้เป็นสมาธิได้ เพราะถูกความง่วงครอบงำ พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประทานโอวาทบอกวิธีแก้ง่วง ๗ ประการให้ท่านดังนี้

พระมหาโมคคัลลานเถระ

๑. ถ้ามีสัญญาอย่างไรอยู่ เกิดความง่วง ให้นึกถึงสัญญานั้นให้มาก หมายความว่า ถ้านึกคิดเรื่องใดอยู่แล้วเกิดความง่วงก็ให้กำหนดสิ่งนั้นให้มากกว่าเดิม แล้วความง่วงจะหาย
๒. ถ้ายังไม่หาย ให้พิจารณาถึงเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังมา หรือที่เล่าเรียนมา ความง่วงจะหาย
๓. ถ้ายังไม่หาย ให้ท่องข้อความที่กำลังอ่านอยู่ หรือนึกถึงอยู่ดังๆ ความง่วงก็จะหาย
๔. ถ้ายังไม่หาย ให้ยอนหูทั้งสองข้าง คือเอาอะไรแยงหู แหงนดูทิศทั้งหลาย ความง่วงจะหาย
๕. ถ้ายังไม่หาย ให้ลุกขึ้นเอาน้ำล้างหน้า แหงนดูทิศทั้งหลาย ความง่วงจะหาย
๖. ถ้ายังไม่หาย ให้นึกถึง “อาโลกสัญญ” คือ วาดภาพถึงแสงสว่าง ความง่วงจะหาย
๗. ถ้ายังไม่หาย ให้เดินจงกรม คือ เดินกลับไปกลับมา ความง่วงก็จะหาย

พระพุทธองค์ตรัสว่า ให้ปฏิบัติตามวิธีทั้ง ๗ นี้ ความง่วงจะหายไปแน่นอน แต่ถ้าไม่หายจริง ๆ ก็ให้นอนท่าสีหไสยาสน์ คือ ให้นอนเสีย (รับรองว่าคราวนี้หายสนิท ถึงขึ้นกรนครอกฟี้ทีเดียว)

จากนั้น พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทให้ท่านพิจารณาถึงเวทนาว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

พระมหาโมคคัลลานเถระ

ท่านปฏิบัติตามพระโอวาทแล้วได้บรรลุพระอรหัต ในวันที่ ๗ หลังจากอุปสมบท

ผลพวงจากการได้บรรลุพระอรหัตผลของท่าน ก็คือท่านได้อภิญญา (ความสามารถพิเศษ) คือ มีอิทธิฤทธิ์ด้วย จึงได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่นในทางมีฤทธิ์มาก และได้รับแต่งตั้งเป็น “อัครสาวก” เบื้องซ้ายคู่กับพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา

ความที่ท่านมีฤทธิ์มาก ท่านจึงได้ใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เป็น “สื่อ” หรือเป็น “เครื่องมือ” ชักจูงคนมิจฉาทิฐิที่มีฤทธิ์ ให้คลายจากความเห็นผิด แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนามากมาย

บางครั้งก็ได้รับพุทธบัญชาไป “ปราบ” ผู้มีฤทธิ์ที่เป็นมิจฉาทิฐิ ทำให้เกียรติคุณของพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว มีผู้เข้ามาบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์มากขึ้นตามลำดับ

ข้อนี้แลได้สร้างผลกระทบต่อลัทธิอัญเดียรถีย์อื่นๆ มาก จนถึงกับว่าจ้างพวกโจรมาฆ่าพระโมคคัลลานะ เพื่อ “ตัดมือตัดเท้า” ของพระพุทธเจ้า

พวกโจรมาล้อมกุฏิของพระโมคคัลลานะถึง ๓ ครั้ง แต่ท่านก็เข้าฌานเหาะหนีไปได้ทั้ง ๓ ครั้ง

ครั้งที่ ๔ ท่านไม่หนี จึงถูกพวกโจรทุบจนกระดูกแหลกละเอียด พวกโจรนึกว่าท่านตายแล้วจึงพากันหนีไป

พระเถระดำริว่า ยังไม่กราบทูลลาพระพุทธเจ้า จะนิพพานไม่ได้ จึงประสานร่างให้คงคืนตามเดิมด้วยอำนาจฌานสมาบัติ เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธองค์

……….แล้วก็นิพพาน