เลิกเหล้าเพราะนั่งสมาธิ ธรรมะจากหลวงปู่ดู่ พรหมปญฺโญ

March 30, 2020 shantideva edit 0

หลวงปู่ดู่ พรหมปญโญ เป็นพระมหาเถระที่มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ ไม่จำเพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นบ้านเกิดและที่ตั้งของวัดสะแก อันเป็นสถานพำนักของท่านเท่านั้น ตอนที่ท่านแรกบวช ท่านมิได้ปรารถนามรรคผลนิพพานแต่อย่างใด หากต้องการเรียนรู้วิชาคงกะพันชาตรีและเวทมนตร์ คาถา เพื่อสึกออกไปแก้แค้นโจรที่ปล้นบ้านโยมพ่อโยมแม่ของท่าน ถึงสองครั้งสองครา แต่ต่อมาท่านได้คิด นึกสลดสังเวชใจที่ปล่อยให้ความอาฆาตพยาบาทครอบงำจิตใจนานนับสิบปี ในที่สุดท่านได้ตั้งอโหสิกรรมแก่คนเหล่านั้น แล้วมุ่งเจริญสมณธรรมอย่างจริงจัง ในวัยฉกรรจ์ท่านได้เดินธุดงค์ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดได้มาพำนักที่วัดสะแก นับแต่นั้นก็ได้เป็นที่พึ่งทางใจแก่ญาติโยมมาโดยตลอด ต่อมาราว ๆ ปี พ.ศ. 2490 คือเมื่ออายุได้ 43 ปี ท่านตัดสินใจไม่รับกิจนิมนต์นอกวัด ใครที่ตั้งใจมากราบนมัสการหรือฟังธรรมจากท่าน แม้จะเดินทางไกลเพียงใดก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะเมื่อมาถึงวัดสะแก จะเห็นท่านนั่งรับแขกหน้ากุฏิตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แม้กระทั่งเมื่อท่านชราภาพมากแล้ว มีลูกศิษย์จัดทำป้ายกำหนดเวลารับแขกเพื่อถนอมสุขภาพของท่าน แต่ไม่นานท่านก็ให้นำป้ายออกไป ด้วยความเมตตาที่ท่านมีต่อญาติโยมทัังหลายนั้นเอง ท่านมีวิธีสอนธรรมะแก่ญาติโยมอย่างแยบคาย คราวหนึ่งมีศิษย์มากราบท่านโดยพาเพื่อนซึ่งเป็นนักเลงเหล้าตามมาด้วย เมื่อสนทนากับหลวงปู่ได้พักหนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นได้ชักชวนเพื่อนให้สมาทานศีล 5 พร้อมกับทำสมาธิภาวนา นักเลงเหล้าผู้นั้นแย้งต่อหน้าหลวงปู่ว่า “จะให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ” หลวงปู่ดู่แทนที่จะคาดคั้นหรือคะยั้นคะยอเขา กลับตอบว่า “เอ็งจะกินก็กินไปสิ ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละห้านาทีก็พอ” ชายผู้นั้นเห็นว่านั่งสมาธิแค่วันละห้านาทีไม่ใช่เรื่องยาก จึงรับคำหลวงปู่ นับแต่วันนั้น เขาก็นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอตามที่รับปากเอาไว้ ไม่ขาดแม้แต่วันเดียว บางวันถึงกับงดกินเหล้ากับเพื่อน ๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติพอดี เมื่อได้สัมผัสกับความสงบจากสมาธิภาวนา เขาก็มีความสุข จึงโหยหาเหล้าน้อยลง จนในที่สุดก็เลิกเหล้าไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ละชีวิตทางโลกอุปสมบทเป็นพระภิกษุและมุ่งมั่นกับการปฏิบัติธรรม หลวงปู่รู้ดีว่าการขอร้องให้เขาเลิกเหล้านั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นแทนที่จะห้ามเขากินเหล้า ท่านกลับขอให้เขาทำสิ่งที่ง่ายกว่านั้น คือนั่งสมาธิแค่วันละห้านาที ท่านรู้ดีว่าใครที่ทำสมาธิภาวนาทุกวัน แม้จะไม่กี่นาที ไม่นานก็จะเห็นอานิสงส์ของการปฏิบัติ และปฏิบัตินานขึ้นเอง จนเลิกเหล้าได้ในที่สุด

นิ่งสงบสยบปัญหา ธรรมะเตือนสติโดย พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

March 27, 2020 shantideva edit 0

มีพุทธประวัติตอนหนึ่ง ทำให้เราเข้าใจสำนวนที่ว่า ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ ครั้งหนึ่งกลุ่มปริพาชกหรือนักบวชนอกศาสนาพุทธ มีความคิดอยากทำลายชื่อเสียงพระพุทธเจ้า จึงส่งนางจิญจมาณวิกา ไปที่วัดเชตวันตอนรุ่งเช้าบ่อยๆ จากนั้นก็ให้นางสรรหาผ้ามาพันท้อง แกล้งว่าท้องทีละนิด เมื่อเวลาผ่านไปท้องของนางก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนมีคนทักถามว่าเธอท้องกับใคร นางจิญจมาณวิกาจึงตอบไปว่าท้องกับพระพุทธเจ้า เรื่องนี้พระองค์ทรงทราบความจริงดี แต่พระองค์ทรงเงียบเฉย ไม่ชี้แจงอะไร กระทั่งท้องของนางจิญจมาณวิกาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 9 เดือน นางจิญจมาณวิกา จึงทูลต่อพระพุทธเจ้าหน้าที่ธารกำนัลว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทำเธอท้องแล้วไม่ทรงรับผิดชอบ พระพุทธเจ้าทรงได้ยินดังนั้นก็แย้มพระสรวล ก่อนตรัสสั้นๆ ว่า เรื่องนี้มีแค่เธอกับเราเท่านั้นแหละที่รู้ความจริง จากนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงอธิบายขยายความต่อ นั่นทำให้นางจิญจมาณวิกา โกรธมาก และพยายามโต้เถียงจนผ้าที่พันท้องของนางอยู่หลุดออกมา ความจริงจึงเปิดเผยในที่สุด จากนั้น กรณีเช่นนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอีก เมื่อครั้งที่กลุ่มปริพาชกได้สังหารนางสุนทรีแล้วเอาศพไปทิ้งไว้ใกล้กุฏิของพระพุทธเจ้า เมื่อมีคนมาพบศพนางสุนทรีเข้า ข่าวลือว่าพระพุทธเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังการตายของนางก็แพร่สะพัดออกไป พระสงฆ์ทั้งหลายร้อนใจมากจึงได้ทูลให้พระพุทธเจ้าทรงหนีออกจากเมืองนั้นไปเสีย แต่พระองค์ตรัสตอบว่า ขอทุกท่านจงนิ่งสัก 7 วัน เดี๋ยวเรื่องนี้จักเงียบสงบไปเอง เจ็ดวันผ่านไปปรากฏว่าข่าวลือนั้นก็เงียบสงบไปจริงๆ ความจริงปรากฏว่า ฆาตกรที่ฆ่านางสุนทรีเกิดเมาแล้วทะเลาะกับเพื่อน เลยเปิดเผยว่าตนเองเป็นคนฆ่านางสุนทรี จากนั้นเขาถูกจับได้และโดนสำเร็จโทษถึงชีวิต ในบางสถานการณ์ การพูดหรือชี้แจงอาจจะไม่เป็นประโยชน์ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในอารมณ์ที่รุ่มร้อน พูดไปเขาก็ไม่ฟัง เมื่อคนเราถูกใส่ร้าย ส่วนใหญ่เรามักจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันที แต่การด่าหรือเถียงกลับนั้น มีแต่จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลง สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารอังกฤษที่ประจำการอยู่ที่พม่าต้องไปลาดตระเวนในป่าเพื่อต้านทานการบุกรุกของทหารญี่ปุ่น เย็นวันหนึ่ง ทหารลาดตระเวนมาแจ้งข่าวกับหัวหน้าว่า ข้างหน้ามีกองทัพทหารญี่ปุ่นโอบล้อมไว้ทุกด้าน บรรดาทหารอังกฤษก็คิดว่าถึงฝ่ายตนเองจะมีกำลังน้อยกว่า อย่างไรก็ต้องสู้ เพราะถ้าสู้แล้วอาจสามารถลดจำนวนทหารญี่ปุ่นได้เล็กน้อย ก็ยังดีเสียกว่าตายเปล่า แต่หัวหน้ากลับบอกว่าให้อยู่นิ่งๆ และยังให้ชงชาดื่มกันด้วย ถึงลูกน้องจะสงสัย แต่ทุกคนก็ปฏิบัติตามที่หัวหน้าสั่ง ชงชารอ ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารญี่ปุ่นก็เดินผ่านไป กลายเป็นว่าทุกคนที่นั่นก็รอดตาย บางครั้ง การอยู่นิ่งๆ สามารถช่วยชีวิตเราได้ เวลาเรือเจอพายุคลื่นลม แล้วก็เรือเกิดรั่ว ถ้าคนในเรือตื่นตกใจ ทำโน่นทำนี่ เรือก็คว่ำง่าย ที่จริงแล้ว การอยู่เฉยๆ อาจเกิดผลดีเสียกว่า หรือยามเมื่อคนที่เรารักใกล้เสียชีวิต แทนที่จะให้ท่านจากไปอย่างสงบ กลับบอกให้หมอทำโน่นทำนี่ เจาะคอบ้าง ใส่ท่อบ้าง ซึ่งยิ่งทำให้ท่านทุกข์ทรมาน ลูกๆ หลายคนรู้สึกเสียใจภายหลังว่า ทำไมไม่ให้พ่อหรือแม่ของตนจากไปอย่างสงบ ทำไมต้องทำนู่นต้องทำนี่ด้วย เพราะว่าไม่รู้จักนิ่ง ไม่รู้จักปล่อยวาง เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ ขอให้ใช้สติ ใช้ปัญญา อย่าคิดแต่จะทำนู่นทำนี่อย่างเดียว การไม่ทำอะไรเลย บางทียังเป็นการดีเสียกว่า

อนาคาริกธรรมปาล ผู้กอบกู้พุทธคยา

March 25, 2020 shantideva edit 0

สมัยก่อน พ.ศ. 2505 เมื่อผู้เขียนเดินทางไปอินเดียครั้งแรกแล้วในยุคนั้นมีการเดินทางคนไทยไปจาริกแสวงบุญที่อินเดียเข้าใจว่ามีเพียงเจ้าเดียวคือการเดินทาง จุดที่เป็นไปได้ของสมาคมเป็นสิ่งที่มีค่า คนไทยที่ไปอินเดียในสมัยนั้นก็ถือคารวะชนชาติเช่นกัน ที่สมาคมมหาโพธิ์เป็นจุดเริ่มต้นของชาวพุทธตอนที่ผู้เขียนทั้งเยาว์และโง่เขลา แต่ก็รู้ว่าผู้ที่เริ่มต้นสมาคมมหาวิหารนี้ชื่ออนาคาริกริกธรรมปาล ที่จะต้องกลับมาเขียนถึงท่านอีกครั้งที่ได้รับการประชุมที่สมาคมมหาเศรษฐีที่จัดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้วมาประชุมงานที่สมาคมแห่งประเทศไทย เพราะท่านธัมมนันทารับนิมนต์ร่วมเป็นกรรมการจัดประชุมทางวิชาการประจำปีของสมาคมมหาโพธิ์ค่ะ เมื่อต้องไปทำงานอย่างต่อเนื่องที่สมาคมมหาเศรษฐีก็ยังคงเป็นที่มาของสิ่งที่ต้องบอกถึงการมาของสมาคมนี้ คุณเกิดที่ศรีลังกาเมื่อ 1864 ชื่อเดิมดอนดอนเหวา ท่านเข้าเรียนในโรงเรียนที่บริหารโดยพวกมิชชันนารีของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เล่ากันว่าใครเป็นคนที่มีความทรงจำที่ดี การที่ได้อบรมและได้รับการปลูกฝังตามระบบของอังกฤษนี้ ได้ส่งผลที่ดีแก่ท่านอย่างมากในงานที่ท่านต้องรับผิดชอบต่อมา ใน ค.ศ.1880 ท่านมีอายุเพียง 16 แต่ได้มีโอกาสพบกับคนสำคัญในการขับเคลื่อนพุทธศาสนาในศรีลังกา คนหนึ่งคือนายทหารที่ชื่อ เฮนรี่ สตีล โอลคอต คนนี้คือคนที่รับผิดชอบทำให้เกิดธงพุทธที่นิยมใช้กันที่ศรีลังกา และมาดามบลาวัตสกี ที่เป็นผู้ก่อนตั้งสมาคมทีโอโซฟี เพื่อสนับสนุนพุทธศาสนา ใน ค.ศ.1881 เริ่มใช้ชื่อธรรมปาล ซึ่งแปลว่าผู้ปกป้องพระธรรม และใน ค.ศ.1884 ได้รับพิธีเข้าร่วมเป็นสมาชิกและได้ติดตามมาดามไปเยี่ยมศูนย์ของสมาคมที่อินเดีย ที่นั่น ธรรมปาลได้รับการสนับสนุนจากสมาคมให้เรียนภาษาบาลีและเลือกวิถีชีวิตพรหมจรรย์เป็นอนาคาริก (แปลว่าผู้ไม่มีบ้านเรือน หรือออกจากบ้านเรือน) ซึ่งถ้าอยู่ที่ศรีลังกามีรูปแบบการใช้ชีวิตทางศาสนาก็ต้องเป็นพระภิกษุเท่านั้น ภายใต้ชื่ออนาคาริกธรรมปาล ท่านศึกษาพระธรรม เช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่ยังทำงานทางสังคมได้คล่องตัวกว่า ท่านเป็นอิสระจากเงื่อนไขทางพระวินัยของสงฆ์ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถเดินทางและเคลื่อนไหวเพื่อทำงานกอบกู้พระพุทธศาสนาในดินแดนประเทศบ้านเกิดของพุทธศาสนาเองได้อย่างคล่องตัวมากกว่า อนาคาริกธรรมปาล เป็นนักปฏิรูปสังคม เป็นนักศาสนาชาตินิยม พยายามพัฒนาการศึกษาในชนบท ขณะเดียวกันก็ปฏิรูปพุทธศาสนาโดยพยายามปลดเปลื้องศาสนาพุทธออกจากการถูกครอบงำโดยพิธีกรรมและความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่แฝงเข้ามาในการนับถือพุทธศาสนาของชาวพุทธศรีลังกา ทั้งนี้ เพื่อยกระดับสังคมชาวสิงหลและเพื่อเอกราชของศรีลังกาที่นับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก ใน ค.ศ.1891 ที่ท่านได้ไปเยือนพุทธคยาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้นั้น ท่านตะลึงกับสภาพความเสื่อมโทรมของพุทธคยาที่ถูกครอบงำโดยพระมหันต์ที่เป็นฮินดูที่เข้ามาครอบครองพุทธคยาโดยปริยาย เพราะพุทธคยาถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน สิ่งแรกที่อนาคาริกธรรมปาลทำคือ จับกลุ่มชาวศรีลังกาที่มีความรู้จัดตั้งสมาคมมหาโพธิ์ขึ้น ตอนนั้นท่านอายุ 27 ข้อมูลตรงนี้ ผู้เขียนประทับใจมากที่ชีวิตของท่านเป็นชีวิตที่อุทิศให้งานพระศาสนาโดยตรงตั้งแต่แรก เข้าใจว่า ท่านมาจากครอบครัวผู้มีอันจะกิน ท่านจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำงานหาเลี้ยงบิดามารดา แต่อุทิศชีวิตให้กับงานพระศาสนาได้ตั้งแต่ต้น และเพื่อมิให้เวลาสูญเสียไปเปล่ากับการมีครอบครัว ท่านจึงได้สมาทานวิถีชีวิตแบบพรหมจรรย์ตั้งแต่แรก นี่ไม่ใช่ชีวิตของปุถุชนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย จุดประสงค์หลักของการก่อตั้งสมาคมมหาโพธิ์ คือการกอบกู้พุทธคยา ท่านเดินทางไปหาแนวร่วมในประเทศต่างๆ และเป็นตัวแทนชาวพุทธเข้าร่วมในการประชุมครั้งสำคัญ คือ สภาศาสนาโลก (Parliament of World”s Religions) ที่จัดขึ้นใน ค.ศ.1883 ที่เมืองชิคาโก ครั้งนั้น ท่านร่วมกับวิเวกนันทะ ปราชญ์หนุ่มจากอินเดีย สร้างความประทับใจและตื่นตะลึงให้แก่ชาวตะวันตกอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ศาสนาที่ชาวตะวันออกสองคนสามารถพลิกความเชื่อความศรัทธาทางศาสนาของชาวตะวันออกให้ปรากฏแก่สายตาของชาวตะวันตกที่หลงว่าศาสนาของตนนั้นสูงสุด อนาคาริกธรรมปาลต้องต่อสู้กับพวกมหันต์ที่เข้ามาครอบครองวัดมหาโพธิ์ ขึ้นโรงขึ้นศาลหลายครั้ง แม้กระนั้น ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ท่านเสียชีวิต ค.ศ.1933 หลังจากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบั้นปลายชีวิตไม่นาน ท่านใช้ฉายาว่า พระภิกษุเทวมิตต์ แต่คนส่วนใหญ่จะรู้จักท่านในนามอนาคาริกธรรมปาล โชคดีที่ท่านเลี้ยงลูกบุญธรรมไว้คนหนึ่ง ชื่อ วาลีสิงห์ วาลีสิงห์เป็นชาวศรีลังกา แต่มาเติบโตในอินเดีย ท่านธรรมปาลส่งไปเรียนที่ศานตินิเกตัน หรือที่เรียกเป็นทางการว่า มหาวิทยาลัยวิศวภารตี สร้างโดยท่านกวีและปราชญ์รพินทรนาถ ฐากูร ที่คนไทยรู้จักกันดีพอควร วาลีสิงห์จึงเติบโตขึ้นมาเยี่ยงชาวเบงกอลี และได้รับงานของท่านธรรมปาลต่อจนกระทั่งในที่สุดใน ค.ศ.1949 วัดมหาโพธิ์จึงเป็นอิสระจากการครอบครองของพวกมหันต์ วาลีสิงห์ทำงานทั้งเป็นเลขาธิการของสมาคมมหาโพธิ์และเป็นตัวแทนในการฟ้องร้องเพื่อขอวัดมหาโพธิ์ให้กลับคืนมาอยู่ในปกครองของชาวพุทธ ในความสำเร็จที่ใช้เวลายาวนานนี้ มีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่เราต้องจารึกและจดจำด้วยความขอบคุณ คือ ท่านนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ท่านเยาวหราล เนห์รู ในช่วง ค.ศ.1950 มีอำนาจจากกลุ่มคนสามฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินชะตาของวัดมหาโพธิ์ กลุ่มแรก คือมหาโพธิ์ที่ตอนนั้นนำโดยท่านวาลีสิงห์ เลขาธิการของสมาคมมหาโพธิ์ที่ฟ้องร้องขอความชอบธรรมในการดูแลวัดมหาโพธิ์ กลุ่มที่สอง คือพระฮินดูนิกายมหันต์นำโดยหริหารคิรี พวกมหันต์เป็นเจ้าของที่ดินในแถบนั้นมากถึง 30,000 เอเคอร์ เรียกว่ามีอิทธิพลอย่างยิ่ง กลุ่มที่สาม คือรัฐบาลโดยเยาวหราล เนห์รู ทางฝั่งรัฐบาลนั้นมีประเด็นสำคัญคือเห็นความสำคัญของพุทธคยาที่มีต่อชาวพุทธทั่วโลก นั่นหมายถึงรายได้จำนวนมหาศาลที่จะได้จากการท่องเที่ยว ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ในใจรัฐบาล คือความพยายามที่ต้องจัดสรรระบบการครอบครองที่ดิน ที่เนห์รูต้องการจะรื้อฟื้นใหม่เพื่อลดอำนาจของพวกมหันต์ลง ทั้งนี้ทั้งนั้น เราเห็นภาพอีกภาพหนึ่งที่ซ้อนขึ้นมา ในส่วนตัวของเนห์รูนั้น ท่านมีความใกล้ชิดกับศาสนาพุทธมาก ในบ้านของท่านเอง ที่ตอนนี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมได้ เราจะเห็นว่า มีรูปพระพุทธเจ้า แทบจะทุกห้อง โดยเฉพาะที่โต๊ะหัวนอนของท่านเองก็มีรูปพระพุทธเจ้า ในช่วงที่ถูกจองจำ ระหว่าง ค.ศ.1942-1944 หนังสือที่ท่านเขียนในช่วงนั้น บรรยายว่า เรื่องราวของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องราวที่ประทับใจท่านเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหนังสือเรื่องประทีปแห่งเอเชียที่ท่านเซอร์เอ็ดวิน อาร์โนลด์ ประพันธ์ก็ยังเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ท่านชอบเป็นพิเศษ ด้วยเหตุที่ประกอบกันขึ้นนี้ ในที่สุดวัดมหาโพธิ์ จึงเป็นวัดที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลโดยงบฯ ของรัฐบาล มีกรรมการเป็นชาวพุทธกว่าครึ่ง ที่ดินบริเวณโดยรอบพุทธคยา 30,000 ไร่นั้น ถูกจัดสรรใหม่ พวกมหันต์มีสิทธิ์ครอบครองเพียง 100 ไร่ เป็นการจำกัดอำนาจของพวกมหันต์ไปโดยปริยาย บรรดาร้านรวงที่พวกเราไปซื้อของนั้น เห็นมาตั้งแต่ ค.ศ.1962 อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น เพิ่งเข้าใจว่า ที่แท้เป็นพื้นที่เช่าจากนายทุนมหันต์ทั้งสิ้น กว่าจะมาเป็นพื้นที่ให้พวกเราได้ไปนมัสการทั้งพระศรีมหาโพธิ์ และพระพุทธรูปในพระวิหาร ล้วนเป็นผลงานที่ริเริ่มโดยท่านธรรมปาลตั้งแต่ ค.ศ.1891 ขอคารวะท่านธรรมปาลผู้มีหัวใจของพระโพธิสัตว์อย่างแท้จริงที่เห็นความสำคัญในการที่จะต้องต่อสู้เพื่อให้ได้พื้นที่ส่วนนี้คืนมา เพื่อให้ชาวพุทธได้เข้าถึงหนึ่งในสังเวชนียสถานที่สำคัญ วัดแรกที่เกิดขึ้นที่พุทธคยา คือ สมาคมมหาโพธิ์ เพราะชาวพุทธเมื่อไปที่พุทธคยาไม่มีที่พัก วัดที่สองที่ตามมาคือวัดพม่า และวัดที่สาม คือวัดไทย ที่รัฐบาลไทยให้งบประมาณจัดสร้างเมื่อ พ.ศ.2500 ต่อจากนั้น พุทธคยาบูมมากที่วัดหลายชาติหลายนิกายไปสร้างตามๆ …..อ่านต่อ

เหตุแห่งการนับถือศาสนาพุทธของข้าพเจ้า

March 20, 2020 shantideva edit 0

หนึ่งในคำถามที่ข้าพเจ้าคิดว่าน่าสนใจที่สุดคำถามหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้าและตอบยากมากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า คือ “เหตุใดข้าพเจ้าจึงนับถือศาสนาพุทธ” คำถามนี้เป็นประเด็นที่ถูกตั้งขึ้นทั้งจากผู้คนที่รู้จักซึ่งพยายามชักชวนให้ข้าพเจ้าเข้ารีตในความเชื่อของเขา ไปจนถึงรุ่นพี่ที่น่าเคารพนับถือซึ่งไม่มีความเชื่อในศาสนา

บุคคลสำคัญทางพระพุทธศาสนา !!

March 19, 2020 shantideva edit 0

พระพุทธทาสภิกขุ (พุทธทาสอินทปัญโญ) พุทธทาสภิกขุหรือพระธรรมโกศาจารย์ นามเดิมเงาะพานเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาในวันอาทิตย์ที่ ๒๙๔ พ.ย. ๔๔ พรรษาพานเรียงอ. ไชยาจ. สุราษฎร์ธานีอุปถัมภ์เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคมพ. ศ. .๒๔๖๗ สำเร็จการศึกษาชั้นน. ธ . เอก, ป.ธ. ๓ ได้รับการจัดสวนที่อ. ไชยาเมื่อวันที่ ๑๒ พ.ค. ๒๒๔๗๕ และหันมาใช้นามปากกา “พุทธทาส” แทนนามเดิม แต่ท่านมาแล้วพุทธทาสภิกขุอุทิศตนรับการปล่อยตัวจากการแผ่รังสีแห่งศาสนาอิสลาม วันพฤหัสบดีที่ ๓ คำสอนอันโดดเด่นของท่านคือเรื่อง “การปล่อยวาง” ผลงานอันยิ่งใหญ่ของท่านคืองานนิพนธ์ชุด “ธรรมโฆษณ์” พระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทฺโท) พระโพธิญาณเถระ หรือ หลวงปู่ชา สุภัทโท นามเดิม ชา ช่วงโชติ เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๑ ณ บ้านก่อ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานีอุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ ณ วัดก่อใน ต.ธาตุ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี อุปสมบทแล้วท่านได้อุทิศตนศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง แล้วจึงจาริกออกปฏิบัติธรรมตามป่าเขาลำเนาไพร จนเมื่อได้เวลาอันสมควร คือ พ.ศ. ๒๔๙๗ จึงกลับมาก่อตั้งวัดหนองป่าพง ซึ่งเป็นวัดป่าฝ่ายอรัญวาสีที่บ้านเกิด โดยมีท่านเองเป็นเจ้าอาวาส พร้อมทั้งได้เริ่มงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา แก่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และได้ก่อตั้งวัดป่านานาชาติเพื่อเป็นวัดนานาชาติสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการบวชในพระพุทธศาสนา นับแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบันวัดหนองป่าพงมีสาขาอยู่ทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก รวมแล้วไม่น้อยกว่า ๒๐๐ สาขา หลวงปู่ชามรณภาพเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕ นับว่าเป็นพระมหาเถระที่มีผลงานทางด้านเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้านวิปัสสนาธุระที่โดดเด่นที่สุดรูปหนึ่งของสังคมไทยปัจจุบัน พระพิศาลธรรมพาที (พยอม กัลยาโณ) พระพิศาลธรรมพาที (พยอม กัลยาโณ) นามเดิม พยอม จั่นเพชร เกิดเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๙๒ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี บรรพชาเมื่อ เมษายน ๒๕๐๒ และอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๑๓ ณ วัดสังวรณ์วิมลไพบูรย์ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี สำเร็จการศึกษา น.ธ.เอก ในปี พ.ศ.๒๕๑๖ และได้ไปจำพรรษาอยู่กับท่านพุทธทาสที่สวนโมกขพลารามในการปฏิบัติธรรม แล้วจึงได้กลับมาทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพัฒนา วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระนักเทศน์และพระผู้เสียสละ ดังกวีนิพนธ์ โดย อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พระผู้สร้างผู้ทำนำคนทุกข์ ให้รู้ทางสร้างสุขพึ่งตนได้ เอาเหงื่อต่างน้ำมนต์พ้นพิษภัย เอาชนะทุกข์ได้ด้วยการงาน เป็นที่พระพิศาลธรรมพาที เป็นพระดีที่รักของชาวบ้าน ไม่ออกนอกแก่นธรรมนอกตำนาน ท่านอาจารย์พระพยอม กัลยาโณ ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี หลวงปู่เทสก์ เทสรังสิ พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย นามเดิมว่า เทสก์ เรี่ยวแรง เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๕ ปีขาล ณ บ้านสีดา ตำบลกลางใหญ่ จังหวัดอุดรธานี บิดาชื่อ อุส่าห์ เรี่ยวแรง เดิมเป็นชาวอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เมื่ออายุ 16 ปี หลวงปู่เทสก์ ได้ติดตามพระอาจารย์สิงห์ รอนแรมไปในป่า เป็นเวลาเดือนกว่า จึงถึงเมืองอุบลฯ หลวงปู่ไปบรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระอาจารย์ลุย บ้านดงเค็งใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์ บรรชาแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม จนสอบนักธรรมชั้นตรี ได้ในปีที่มีอายุครบ ๒๐ และวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๖๖ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสุทัศน์ อำเภอเมือง อุบลราชธานี โดยมี พระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี นับเป็นลูกศิษย์ ที่สำคัญยิ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตโต องค์หนึ่ง ท่านได้อุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญธรรมด้วยชีวิตเป็นเดิมพัน หลวงปู่ฯ ได้บำเพ็ญกรณียกิจ …..อ่านต่อ

เทวราชาผู้เปี่ยมด้วยพระบารมี!! ความเชื่อโบราณ “พระมหากษัตริย์ไทย” ทรงเป็นดั่ง “องค์สมมติเทพของพระนารายณ์” อวตารลงมาดูแลทุกข์สุขของปวงประชา!!

March 12, 2020 shantideva edit 0

เราท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินคำว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพ ซึ่งทุกคนต่างก็ยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ เพราะ เป็นเรื่องของการเทิดพระเกียรติยกย่อง ให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือปุถุชนธรรมดา และความเชื่อเช่นนี้ ก็ไม่เคยก่อให้เกิดปัญหาใดๆต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราชาวไทย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป มิใช่สิ่งงมงาย ล้าหลัง และการสร้างองค์พระนารายณ์ประกอบพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระบรมศพพระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรามีความเชื่อที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็น องค์สมมติเทพของพระนารายณ์ อวตารลงมาปราบทุกข์เข็ญในโลกมนุษย์ ตามความเชื่อโบราณ สมัยกรุงศรีอยุธยามีการปกครองแบบราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราชโดยสมบูรณ์แบบคืออำนาจอยู่ที่กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวโดยเชื่อถือตามคติพราหมณ์ตามแบบพวกเขมรว่ากษัตริย์เป็นผู้ได้รับอำนาจจากสวรรค์ฐานะของกษัตริย์จึงเป็น “สมมติเทพ” ทรงมีอำนาจที่จะกำหนดชะตาชีวิตของใครก็ได้จึง เรียกระบบการปกครองนี้ว่า“ระบบเทวสิทธิ์”(Divine Right) ลักษณะการปกครองเป็นแบบนายปกครองบ่าวหรือ “เจ้าปกครองไพร่ ฐานะของกษัตริย์กับประชาชนจึงห่างไกลกันข้าราชบริพารเป็นสื่อกลางระหว่างกษัตริย์ และประชาชน จึงเกิดเป็นระบบเจ้าขุนมูลนายหรือศักดินาขึ้นระบบเจ้าขุนมูลนายหรือศักดินาเกิดขึ้นเพราะกรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาวะสงครามตลอดเวลาจึงจำเป็นต้องให้พลเมืองทุกคนอยู่ในสังกัดของเจ้าขุนมูลนายเพื่อว่าเมื่อมีศึกสงครามพระมหากษัตริย์จะได้สั่งการให้เจ้าขุนมูลนายเกณฑ์ไพร่พลมาช่วยทำสงครามป้องกันบ้านเมืองได้ คติเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยว่าตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งคติความเชื่อดังกล่าวนี้ถือว่าพระมหากษัตริย์ก็คือร่างอวตารของเทพเจ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อปกครองคนในชาติให้เกิดความสุขสงบความร่มเย็น โดยเทพเจ้าที่ว่านั้นก็เป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เรียกกันว่าพระตรีมูรติ โดยแบ่งการปรากฏออกเป็น 3 มหาเทพ คือ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์

เทพบาเตส (Bastet) เทพเจ้าแห่งความรัก และความอุดมสมบูรณ์ ของอียิปต์

March 5, 2020 shantideva edit 0

“Bastet” (เทวีบัสเตต) เป็นเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์นับถือ เทพเจ้าองค์นี้มีกายเป็นคน แต่มีศีรษะเป็นแมว และถือเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก และความอุดมสมบูรณ์ ความเชื่อของชาวอียิปต์กล่าวไว้ว่า นอกจากแมวจะเป็นสัตว์ที่มีไว้จับหนูในโรงนาแล้ว แมวยังทำหน้าที่จับหนูบนเรือสินค้าได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นความเชื่อขึ้นมาว่า เมื่อเรือเดินสินค้าเข้าเทียบท่า แมวจึงเดินลงไปจากเรือ และไม่ได้กลับขึ้นเรืออีก ซึ่งเป็นผลให้แมวถูกขนายพันธุ์ไปทั่วโลกได้นั่นเอง ชาวอียิปต์โบราณนั้นนับถือแมวเป็นอย่างมาก หากผู้ใดฆ่าแมวจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก และถือว่าแมวเป็นสัตว์เทพเจ้าของอียิปต์โบราณ หากบ้านใดมีแมวเสียชีวิตในบ้าน จะต้องนำเอาศพแมวเหล่านั้นไปทำมัมมี่ด้วย (ความเชื่อเดิมกล่าวไว้ว่า มัมมี่คนจะทำกับบุคคลที่เป็นราชวงศ์และขุนนางเท่านั้น) ซึ่งหากคุณต้องการเห็นมัมมี่แมว สามารถหาดูได้ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆในประเทศอังกฤษ ด้วยความเชื่อดังกล่าวนี้ จึงทำให้บุคคลที่ต้องการยึดอำนาจการปกครองอาณาจักรอียิปต์โบราณ ออกอุบาย “อุ้มแมวไปรบ” ซึ่งส่งผลให้พวกทหารอียิปต์ไม่สามารถสู้ศัตรูได้ (แมวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรบ แต่อียิปต์ไม่ได้ล่มสลายเพราะแมว) และแม้ว่าอียิปต์โบราณจะหมดยุคไปแล้ว แต่ชาวอียิปต์ในสมัยก่อนก็ยังคงนับถือบูชาแมวเช่นเดิม ถึงขนาดที่หากชาวโรมันคนไหนฆ่าแมว ก็ยังต้องถูกพวกอียิปต์ลงทัณฑ์เลย เวลาผ่านไปจนล่วงเข้าสู่ยุคกลางในยุโรป ก็เกิดมีความเชื่อเรื่องแม่มดและความชั่วร้ายต่างๆเข้ามา ชาวยุโรปในยุคที่ว่านี้กล่าวอ้างว่า แมวโดยเฉพาะแมวดำเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด เพราะฉะนั้น หากบุคคลใดเลี้ยงแมว ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดร้าย และหากบุคคลนั้นเป็นคนแก่ด้วยแล้ว บุคคลพวกนี้ก็มักจะโดนทำโทษโดยการเผาทั้งเป็นร่วมกันทั้งคนและแมว เมื่อแมวถูกฆ่าเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้หนูมีปริมาณมากขึ้น และเกิดเป็นโรคระบาดอย่างหนักในยุโรปสมัยนั้น ในช่วงสมัยที่ใกล้เคียงกัน ชาวเอเชียอย่างชาวญี่ปุ่นและชาวจีน ก็เริ่มหันมาเลี้ยงแมวกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นอกจากนี้ ในประเทศญี่ปุ่น ยังใช้แมวเป็นสัญลักษณ์แห่งการนำโชคอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากตุ๊กตา “แมวกวัก” ที่มักวางโชว์กันหน้าร้านค้า เพื่อใช้กวักเรียกลูกค้าหรือกวักเงินให้ไหลมาเทมานั่นเอง ส่วนชาวจีนก็เชื่อกันว่า แมวเป็นสัตว์นำโชคเช่นกัน เนื่องจากเมื่อแมวเข้ามาอยู่ในบ้านของมนุษย์คนใด ก็ต่อเมื่อมันพอใจที่จะอยู่เท่านั้น และเมื่อมันเข้ามาอยู่ในบ้านกับเจ้าของบ้านแล้ว ก็มักจะนำโชคลาภเข้ามาสู่เจ้าของบ้านได้เสมอ

แตกต่างแต่เหมือนกัน : 5 เทพกรีก ปะทะ 5 เทพฮินดูที่เหมือนกันยิ่งกว่าแฝด!

March 4, 2020 shantideva edit 0

ชาวบ้านทุกคนถ้าพูดถึงตำนานเทพเจ้าหลายคนคงนึกถึงเทพปกรณัมกรีกบางคนนึกถึงเทพเจ้าชาวฮินดูเหมือนกัน พี่ชายเวลาพูดถึงเทพเจ้าทีไรพี่ชอบนึกถึงเทพจากฝั่งฮินดูเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะเวลาที่มีเรื่องร้อนใจที่ต้องใช้บนบานศาลกล่าว