เราท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินคำว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพ ซึ่งทุกคนต่างก็ยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ เพราะ เป็นเรื่องของการเทิดพระเกียรติยกย่อง ให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือปุถุชนธรรมดา และความเชื่อเช่นนี้ ก็ไม่เคยก่อให้เกิดปัญหาใดๆต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราชาวไทย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสามารถอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่าเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป มิใช่สิ่งงมงาย ล้าหลัง และการสร้างองค์พระนารายณ์ประกอบพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระบรมศพพระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรามีความเชื่อที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็น องค์สมมติเทพของพระนารายณ์ อวตารลงมาปราบทุกข์เข็ญในโลกมนุษย์ ตามความเชื่อโบราณ
สมัยกรุงศรีอยุธยามีการปกครองแบบราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราชโดยสมบูรณ์แบบคืออำนาจอยู่ที่กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวโดยเชื่อถือตามคติพราหมณ์ตามแบบพวกเขมรว่ากษัตริย์เป็นผู้ได้รับอำนาจจากสวรรค์ฐานะของกษัตริย์จึงเป็น “สมมติเทพ” ทรงมีอำนาจที่จะกำหนดชะตาชีวิตของใครก็ได้จึง เรียกระบบการปกครองนี้ว่า“ระบบเทวสิทธิ์”(Divine Right) ลักษณะการปกครองเป็นแบบนายปกครองบ่าวหรือ “เจ้าปกครองไพร่ ฐานะของกษัตริย์กับประชาชนจึงห่างไกลกันข้าราชบริพารเป็นสื่อกลางระหว่างกษัตริย์ และประชาชน จึงเกิดเป็นระบบเจ้าขุนมูลนายหรือศักดินาขึ้นระบบเจ้าขุนมูลนายหรือศักดินาเกิดขึ้นเพราะกรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาวะสงครามตลอดเวลาจึงจำเป็นต้องให้พลเมืองทุกคนอยู่ในสังกัดของเจ้าขุนมูลนายเพื่อว่าเมื่อมีศึกสงครามพระมหากษัตริย์จะได้สั่งการให้เจ้าขุนมูลนายเกณฑ์ไพร่พลมาช่วยทำสงครามป้องกันบ้านเมืองได้ คติเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยว่าตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งคติความเชื่อดังกล่าวนี้ถือว่าพระมหากษัตริย์ก็คือร่างอวตารของเทพเจ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อปกครองคนในชาติให้เกิดความสุขสงบความร่มเย็น โดยเทพเจ้าที่ว่านั้นก็เป็นมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ในทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่เรียกกันว่าพระตรีมูรติ โดยแบ่งการปรากฏออกเป็น 3 มหาเทพ คือ พระพรหม พระศิวะ และพระนารายณ์