พระองค์เป็นธิดาของพระเจ้าเหมี่ยวจวงกับพระนางเซี่ยวหลินผู้ครองอาณาจักรซิงหลินอันยิ่งใหญ่ เป็นธิดาองค์ที่ 3 เจ้าแม่กวนอิมมีนามเดิมว่า เมี่ยวเซียง (เมี่ยวซัน) พระพี่นางองค์แรกชื่อ เมี่ยวเชง อภิเษกกับข้าราชการชั้นบัณฑิต มีสติปัญญาล้ำเลิศยิ่งนัก ส่วนองค์ที่ 2 อภิเษกกับนายทหาร เป็นแม่ทัพใหญ่ มีฝีมือในการรบพุ่ง เป็นที่เกรงกลัวแก่ข้าศึกศัตรู พระราชบุตรเขยทั้ง 2 จึงเป็นที่ปรึกษาสำคัญของพระเจ้าเหมี่ยวจวงในการทำศึกสงคราม พระองค์ต้องการแผ่อำนาจ ยึดครองเมืองอื่นๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไร้ความเมตตากับประชาชนในเมืองข้าศึก ซ้ำพระองค์ไม่ยอมรับนับถือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับเห็นว่าพระธรรมคำสอนของพระองค์สอนให้พ่ายแพ้อ่อนแอ ไม่สามารถจะสร้างความยิ่งใหญ่ได้
พระราชธิดาเมี่ยวซันหาได้เป็นเช่นพระองค์ไม่ พระนางมีศิริโฉมงดงาม และยังมีน้ำพระทัยประเสริฐมีเมตตากรุณา ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก ผู้เจ็บป่วยเสมอ แม้ทหารเชลยฝ่ายตรงข้ามที่ถูกจับมาขัง ก็ยังได้รับความเมตตาปราณีจาก พระนางเมี่ยวซันเสมอ การช่วยเหลือแต่ละครั้ง ต้องทำอย่างลับๆปิดบังซ่อนเร้น มิให้พระราชบิดาทรงทราบ มิฉะนั้นจะถูกลง อาญาอย่างหนักและเฉียบขาด
บางครั้งพระนางก็ต้องปลอมพระองค์ เพื่อไปช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ทรมาน แต่ความก็ทราบถึง พระราชมารดาก็ทรงตักเตือน และให้ระมัดระวัง
พระนางเมี่ยวซันถึงวัยที่จะมีคู่ครอง พระราชบิดาจึงมีรับสั่งให้พระนาง เลือกบุคคลที่มีความสามารถในเชิงรบ เพื่อเป็นกำลังในการขยายอาณาจักรต่อไป แต่พระนางเมี่ยวซันก็ปฏิเสธ โดยพระนาง กราบบังคมทูลว่า ไม่ขอมีคู่ครอง ขอบวชเป็นภิกษุณีในวัด ขจัดบาป เพื่อบำเพ็ญกุศล จนกว่าจะบรรลุถึงพระโพธิญาณ คือความรู้แจ้งในธรรม จะได้ไปสอนธรรมทั่วทิศในจักรวาล และนำพระบิดา มารดาขึ้นไปสู่สวรรค์ช่วยผู้ได้รับความทุกข์ ทรมาน กลับใจคนชั่วให้เป็นคนดี ให้ทุกคนสร้างความดี
พระราชบิดาทรงทราบก็บังเกิดความพิโรธในพระทัย แต่ก็ระงับไว้ และทรงเกลี้ยกล่อมให้พระธิดามีคู่ครองแทนการออกบวชทั้งวิธีแข็งกร้าวและนุ่มนวล แต่ก็ไม่สำเร็จ พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงเนรเทศ ไปบวชเป็นภิกษุณีที่อารามนกขาว และทำงานทุกอย่างตั้งแต่กวาดลานวัด ตักน้ำ ผ่าฟืนหุงข้าวดุจสามัญชน ด้วยพระธิดามี บารมีมาก เทพยดาที่สถิตอยู่บริเวณต่างๆก็พากันมาช่วยทำงานเรียบร้อยหมด เทพยดาเหล่านี้เชื่อกันว่าเคยได้รับส่วนบุญกุศลที่ พระนางสร้างสมมาในอดีตชาติ
พระราชบิดาได้ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด พระองค์มีความพิโรธนัก เพราะกลัวว่าอิทธิฤทธิ์ ของพระธิดาจะเลื่องลือไป แล้วทหาร ประชาชน จะเลื่อมใสพากันออกบวช จะทำให้อาณาจักรของพระองค์อ่อนแอลง จึงมีบัญชาให้เผาอารามนกขาวทันที แต่พระธิดาเมี่ยวซัน ก็ตั้งสมาธิจิตอย่างแน่วแน่ อธิษฐานบารมีหากกรรมของพระองค์ ยังไม่สิ้น ขอให้ได้รับเคราะห์กรรมเหล่านี้แต่เพียงผู้เดียวเถิดผู้อื่นอย่าได้รับความเดือดร้อนด้วยเลยและขอให้พระองค์ ได้มีโอกาส ช่วยผู้ที่มีทุกข์ร้อนให้สิ้นไปด้วยเถิด ครั้นสิ้นคำอธิษฐาน ฝนก็ตกมาดับไฟที่ลุกลามอารามนกขาวจนหมดสิ้น
พระเจ้าเมี่ยวจวงหาได้หยุดยั้งการทำลายภิกษุณีเมี่ยวซันสั่งให้นำตัวพระนางเข้ามาในวังเพื่อทำการประหารชีวิตใหัสิ้นซากไป โดยมิได้คำนึงว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อสายของผู้ออกคำสั่งเอง พระภิกษุณีเมี่ยวซันหาตกพระทัยไม่ ทั้งไม่ร้องขอชีวิต กลับนั่งหลับตาทำสมาธินิ่งแผ่เมตตาให้พระบิดาและทุกๆคน
ในพระทัยของพระภิกษุณีเมี่ยวซันกลับมีจิตสงสาร พระมารดา ที่ทรงเลี้ยงดูพระองค์มาตั้งแต่เล็กๆยังไม่ได้ทดแทนพระคุณเลย ส่วนพระบิดาก็หลงมัวเมาในอำนาจ มีแต่รบราฆ่าฟันผู้อื่น ย่อมนำไปสู่ภพภูมิที่ต่ำช้าต้องได้รับทุกข์ทรมาน ภิกษุณีเมี่ยวซันทรงดำริเช่นนั้นแล้ว ก็กระทำจิตให้นิ่งอยู่อยู่ในสมาธิ ภาวนานามของพระพุทธเจ้าเพื่อสละกิเลสทั้งปวง และถอดจิตออกจากพระวรกาย ทันใดนั้นเพชฌฆาต ก็ฟาดดาบอันคมกริบบน พระศอทันที่แต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อพระนาง คมดาบไม่ระคายผิวหนังแม้จะใช้อาวุธอย่างอื่นก็ไม่สำเร็จได้ พระเจ้าเมี่ยวจวง จึงออกคำสั่งให้เอาผ้าแพรมารัดพระศอ ให้นางสิ้นชีวิต ร่างของภิกษุณีเมี่ยวซันจึงล้มลงจากท่านั่งสมาธิ ทันใดนั้นก็ปรากฏ ควันสีขาวพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วจากฟ้าทิศตะวันออกกลายเป็นเสือคาบพระภิกษุณีเมี่ยวซันเข้าสู่ป่าใหญ่ ส่วนกายทิพย์ของ พระภิกษุณีเมี่ยวซันมีเทพรับไปชมเมืองนรกพระนางบังเกิดความสลดพระทัยยิ่งนัก จึงมุ่งมั่นในการบำเพ็ญ บารมีให้บรรลุถึง พระโพธิญาณเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ผู้อยู่ในนรกทั้งหลาย เมื่อเที่ยวเมืองนรกจนทั่วเทพ จึงนำกายทิพย์กลับมาร่างเดิมซึ่งถูกเสือ สวรรค์คาบเอาไปไว้ในป่าใหญ่
ภิกษุณีเมี่ยวซันรู้สึกพระองค์อีกครั้ง เห็นมานพหนุ่มร่างงาม จับตา ต้องใจอิสตรียิ่งนัก มาปรนนิบัติเพื่อทดสอบพรหมจรรย์ของนางว่าจะมั่นคงต่อการบำเพ็ญเพียงใด แต่มานพหนุ่มนั้นก็ประจักษ์ถึงแก่นแท้ของ พระนางว่ามั่นคงแน่นนอนในพรหมจรรย์ มานพหนุ่มจึงกลายร่างเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านแปลงรางมาเพื่อทดสอบจิตใจ และพาภิกษุณีเมี่ยวซันไปสู่แดนสงบซึ่งเป็นเกาะที่สวยงามเพื่อบำเพ็ญบารมีฝึกจิตให้บรรลุถึงพระโพธิสัตว์ต่อไป
ทรงบำเพ็ญอยู่นาน 9 ปีเต็ม โดยไม่ย่อท้อ จนสำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์ และได้รับการยกย่องให้เป็นใหญ่ในหมู่พระสงฆ์ และมีพระนามตามภาษาจีนว่า “กวนอิมผ่อสัก” แปล่วาพระโพธิสัตว์เงี่ยหูฟังเสียงไกล
ด้วยความกตัญญูกตเวที โพธิสัตว์กวนอิม ทรงระลึกถึงพระบิดามารดา ทรงทราบว่าพระบิดาประชวรนัก และมีผู้คิดปองร้าย จึงสั่งให้ซานใช้ ผู้เป็นศิษย์ไปช่วยพระบิดา โดยวางแผนและอุบายในการรักษา
ส่วนพระเจ้าเมี่ยวจวงถึงจะประชวรหนัก หาแพทย์คนใดรักษาไม่ได้แล้ว พระองค์ยังทรงมีทิฐิเป็นปฏิปักษ์ต่อพระศาสนาไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากบุคคลในศาสนาถือ ว่าเป็นบุคคลนำความอ่อนแอและภัยความมั่นคงของแผ่นดินมาให้
ซานใช้ก็อาศัยอุบายของโพธิสัตว์กวนอิมเข้าไปถวายการรักษา ซานใช้ทูลว่า โรคของพระองค์จะหายต้องใช้แขนและ ดวงตาของ พระโพธิสัตว์ มาทำเป็นยา พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงทรงสั่งให้เสนาบดีเดินทางไปยังเกาะตามที่ ซานใช้บอกครั้งแรก ได้ดวงตาข้างซ้าย แขนข้างซ้ายของโพธิสัตว์มาก่อน รักษาโรคหายไปครั้งหนึ่ง แต่ยังทรงทรมานอีก ซานใช้ให้เสนาบดีส่งคณะ ไปเอาดวงตากับ แขนขวาของพระโพธิสัตว์อีกจึงรักษาหาย เมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงหายดีแล้ว จึงทรงทราบว่า พระโพธิสัตว์ที่สละดวงตากับแขนทั้งสองคือ พระธิดาเมี่ยวซันเอง พระองค์จึงสำนึกบาป ลดทิฐิลง มอบอำนาจราชสมบัติให้ราชบุตรเขย และออก เดินทางไปยังเกาะที่ประทับของพระโพธิสัตว์กวนอิมพร้อมด้วยมเหสี และพระพี่นางทั้งสอง
พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงปลดปล่อยเชลย คืนทรัพย์สินต่างๆที่ยึดมาเมื่อสมัยชนะสงคราม แล้วให้เสนาบดีที่เคยไปขอดวงตาและแขนจากพระโพธิสัตว์กวนอิม นำทางไปยัง เกาะสงบสวยแห่งนั้น การเดินทางเต็มไปด้วยอุปสรรค ความยากลำบากมากมาย พวกวิญญาณทั้งหลายที่พระองค์เคยประหาร ครั้งทำสงคราม คอยติดตามอาฆาตจองเวร แต่ได้อาศัยบุญบารมีของพระมเหสีที่รับช่วงจากพระโพธิสัตว์กวนอิม และความ แน่วแน่ที่จะเข้าสู่ความสงบของพระพุทธศาสนาของพระเจ้าเมี่ยวจวง พวกวิญญาณร้ายจึงทำอะไรพระองค์มิได้ ต่อมาซานใช้ได้ช่วย นำทางต่อจากเสนาบดีมาจนถึงเกาะ และได้เข่าเฝ้าพระโพธิสัตว์ พระบิดา มราดา ทรงกรรแสงสงสารพระโพธิสัตว์ที่ไม่มีแขน และดวงตา พระโพธิสัตว์ทรงตรัสว่า พระองค์เต็มใจให้แขนและดวงตา เพื่อความกตัญญูกตเวทีต่อบิดา มิได้เสียดายแม้ชีวิตของ พระองค์ก็ทรงเสี่ยสละให้ได้
พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงตั้งสัจจะอธิษฐานให้แขนและดวงตากลับคืนมาดังเดิม ด้วยพระพุทธานุภาพแขนและดวงตาจึงคืนกลับมาเหมือนเดิม ทำให้ พระบิดา มารดา ตลอดจนข้าราชบริพารที่ตามเสด็จยินดีอย่างมาก และขอศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ โดยแต่งกายสีขาว แยกชาย และหญิงออกจากกัน เพื่อให้บรรลุโสดาบันเป็น เบื้องต้น จะเร็วช้าสุดแต่บารมีของแต่ละคนที่สร้างสมมาในอดีตชาติ
ตามตำนานกล่าวว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นโพธิสัตว์ฝ่ายพระ พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชาวพุทธนับถือมากที่สุด เพราะทรงมีพระเมตตากรุณาโปรดสัตว์ทั่วไตรภูมิ ให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง กลับใจคนชั่วให้กลายเป็นคนดี เมื่อพระองค์จะเสด็จไปโปรดสัตว์ พระองค์จะแปลงกายให้ผู้พบเห็นยำเกรง ถ้าโปรดยักษ์มาร พระจะแปลงองค์มีมือมากมาย โปรดกษัตริย์ก็จะแปลงเป็นกษัตริย์ ถ้าโปรดอิสตรี พระองค์จะแปลงร่างให้งดงามกว่าหญิงทั้งปวง เหตุที่พระองค์ต้องปฏิบัติเช่นนี้เพราะต้องการลดทิฐิของผู้มีอำนาจง่ายต่อการสั่งสอนธรรม
ภาพเขียนหรือรูปปั้นของพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่ปรากฏตามบ้านเรือน ผู้คนเคารพกราบไหว้บูชา จะเป็นสตรีที่มีวงพักตร์งดงาม เรือนร่างอ่อนช้อย พระหัตถ์ซ้ายของพระองค์ทรง ถือแจกันน้ำอมฤต ที่สามารถปราบมารได้ และพระหัตถ์ขวาทรงถือกิ่งหลิวอันศักดิ์สิทธิ์ ไว้สำหรับประพรมน้ำอมฤต บนพระเศียรมีสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า คือ รูปอมิตาภะนั่นเอง เว็บพนันออนไลน์