ทุกสิ่งเป็นไปได้ด้วยฤทธิ์อภิญญาญาณ! ความอัศจรรย์4ประการในวันมาฆบูชา ไขปริศนาพระสงฆ์ชุมนุมกัน 1,250 รูป ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

June 14, 2019 shantideva 0

ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่างๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล shantideva.net จาตุรงคสันนิบาต คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถามหาปทานสูตร ระบุว่าหลังจากพระพุทธเจ้าเทศนา “เวทนาปริคคหสูตร” (หรือทีฆนขสูตร) ณ ถ้ำสูกรขาตา เขาคิชฌกูฎ จบแล้ว ทำให้พระสารีบุตรได้บรรลุอรหัตตผล จากนั้นพระองค์ได้เสด็จทางอากาศไปปรากฏ ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ แล้วทรงประกาศโอวาทปาติโมกข์แก่พระภิกษุจำนวน 1,250 รูป โดยจำนวนนี้เป็นบริวารของชฏิลสามพี่น้อง 1,000 รูป และบริวารของพระอัครสาวก 250 รูป การประชุมสาวกครั้งนั้นประกอบด้วย “องค์ประกอบอัศจรรย์ 4 ประการ” คือ 1. วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 2. พระภิกษุทั้ง 1,250 องค์นั้น ได้มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย 3. พระภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา 6 4. พระภิกษุเหล่านั้นไม่ได้ปลงผมด้วยมีดโกน เพราะพระพุทธเจ้าประทาน “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ด้วยพระองค์เอง ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันนิบาต” หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ดังกล่าวแล้ว   ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่าง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จาตุรงคสันนิบาต (มาจากศัพท์บาลี จาตุร+องฺค+สนฺนิปาต แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ประการ) หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 9 เดือน (45 ปี ก่อนพุทธศักราช) มีผู้เข้าใจผิดว่าเหตุที่พระสาวกทั้ง 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายนั้น เพราะวันเพ็ญเดือน 3 ตามคติพราหมณ์เป็นวันพิธีมหาศิวาราตรีเพื่อบูชาพระศิวะ พระสาวกเหล่านั้นซึ่งเคยนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อนจึงได้เปลี่ยนจากการรวมตัวกันทำพิธีชำระบาปตามพิธีพราหมณ์ มารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแทน แต่ความคิดนี้ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะพระศิวะเป็นเทพที่ชาวฮินดูเริ่มบูชากันในยุคหลังพุทธกาล คือตั้งแต่ พ.ศ. 800 เป็นต้นมา ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า ในพระไตรปิฎกเอง พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นที่ประจักษ์เพื่อปราบทิฐิมานะในกาลอันเหมาะสมอยู่หลายคราว และยังมีข้อยืนยันอีกมากมายที่ระบุว่า พระองค์ทรงเป็น สัพพัญญูผู้มีพุทธานุ ส่วนพระสงฆ์สาวกที่มาประชุมกัน 1,250 นั้น ต่างก็เป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าบวชให้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้มีอภิญญาญาณ นั่นคือ มีความรู้พิเศษที่เกิดจากการเจริญจิตตภาวนา มี ๖ อย่างด้วยกัน ได้แก่ ๑.อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น คนเดียวเนรมิตเป็นหลายคน เดินทะลุกำแพงได้ ฯลฯ ๒.ทิพพโสต คือฟังเสียงที่ไกลออกไปก็ได้ ได้ยินเสียงทิพย์อีกมิติหนึ่งก็ได้ ๓.เจโตปริยญาณ รู้ใจผู้อื่น อ่านใจผู้อื่นออกว่าเขาคิดอะไร เขาต้องการอะไร ๔.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติได้ ๕.ทิพพจักขุ คือตาทิพย์ สามารถแลเห็นหมู่สัตว์ที่เป็นไปต่างๆ กันเพราะอำนาจแห่งกรรม ๖.อาสวักขยญาณ รู้จักทำกิเลสให้สิ้น ดังนั้น การเรียกพระสงฆ์ที่กระจัดกระจ่ายอยู่บนดินแดนอันกว้างไกล ในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มาชุมนุมกันฟังเทศนาธรรมครั้งสำคัญ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดหากพระองค์และเหล่าสาวก จะใช้อภิญญาญาณในการสื่อสาร เพราะถือเป็นคุณวิเศษที่มีอยู่แล้วในตัวของพระองค์และเหล่าสาวกทั้งหลาย เพื่อวันสำคัญ และธรรมะอันสำคัญดังกล่าว จะได้เผยแพร่ไปตั้งแต่บัดนั้น … สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ ก็เพื่อให้พระสาวกทั้งหลาย ทั้งปัจจุบันและอนาคต ได้มีหลักอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการในการปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมในทางพระพุทธศาสนา เป็นมาตรฐานอันเดียวกันขึ้นไว้ ประดุจเป็นหัวใจพระพุทธศาสนานั้นเอง ข้อมูลอ้างอิง : วิกิพีเดีย ข่าว : ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์) starvegas-slot.com

อารยตริรัตนานุสมฤติสูตร อิติปิโสฝ่ายสันสกฤต

June 12, 2019 shantideva 0

บทระลึกถึงพระรัตนตรัยหรือคนไทยเรียกบทอิติปิโสนั้น ปรากฎมีอยู่โดยทั่วๆไปปนในพระสูตรอื่นๆ ทั้งฝ่ายบาลีและสันสกฤต ทั้งสาวกยานและมหายาน เนื้อหาก็ใกล้เคียงกัน แต่บางพระสูตรอาจจะขยายความมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นพระสูตรเอกเทศแต่อย่างใด shantideva.net ในฝ่ายมหายานนั้นมี พระสูตรที่ว่าด้วยการระลึกถึงพระรัตนตรัย เป็นเอกเทศอยู่พระสูตรหนึ่งชื่อ อารยตริรัตนานุสมฤติสูตร มีเนื้อหาใกล้เคียงกับบทอิติปิโสของฝ่ายบาลี แต่ในส่วนระลึกถึงพระพุทธคุณ มีส่วนขยายมีเนื้อหาคล้ายใน สมาธิราชสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรมหายานในยุคแรก ๆ ซึ่งส่วนท้ายของพระพุทธคุณ จะปรากฏมติที่เป็นหลักข้อเชื่อใหญ่ของมหายานโดยเฉพาะ ที่เกียวกับคุณลักษณะและการดำรงอยู่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และลักษณะแห่งพระนิพพานในแบบมหายาน อารยตริรัตนานุสมฤติสูตร นี้เป็นฉบับที่ธิเบตเก็บรักษาไว้ ชื่อในภาษาธิเบต ชื่อ ’phags pa dkon mchog gsum rjes su dran pa’i mdo และยังมีเนื้อหาภาษาสันสกฤตปรากฏในรายการดัชนีศัพท์ของคัมภีร์อภิธานศัพท์ ชื่อคัมภีร์มหาวยุตปัตติ เป็นอภิธานศัพท์สันสกฤต-ธิเบต-จีน อีกด้วย ปัจจุปันมีการแปลออกเป็นหลายฉบับหลายภาษา มีอรรถาธิบายไว้หลายฉบับเช่นกัน ในชื่อภาษาอังกฤษว่า The sutra of the recollection of the noble three jewels  starvegas-slot.com

ปัญญากับบารมีหก

June 11, 2019 shantideva 0

  ในโพสที่แล้วเราพูดกันเกี่ยวกับการบรรยายธรรมของกุงกาซังโปริมโปเช เรื่องปัญญากับบารมีหกประการของพระโพธิสัตว์ ปรากฏว่าเป็นที่สนใจของหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวต่างประเทศซึ่งได้ขอให้เขียนบทความต่างๆนี้ใหม่เป็นภาษาอังกฤษ ผมก็จะทำตามนั้น แต่คงหลังจากโพสเรื่องนี้เสร็จสักระยะหนึ่ง คาสิโนออนไลน์ ริมโปเชได้พูดถึง “ปัญญาในบารมีหกประการ” ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติบารมีหกประการอย่างมีปัญญา ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติก้าวหน้ารวดเร็วบรรลุถึงเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์ บารมีหกประการของพระโพธิสัตว์ได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ และปัญญา ในโพสนี้เราก็จะพูดถึงบารมีอีกสี่ประการที่เหลือ ริมโปเชกล่าวว่าขันติบารมีเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ฝึกฝนตนเองในแนวทางของพระโพธิสัตว์ หััวใจของการปฏิบัติตามเส้นทางนี้ก็คือ การมุ่งมั่นบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อให้มีความสามารถเต็มเปี่ยมในการช่วยเหลือสัตว์โลกให้ก้าวข้ามพ้นจากสังสารวัฏเข้าไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง อันได้แก่ฝั่งของพระนิพพาน การมีจิตใจที่มุ่งมั่นเช่นนี้เรียกว่า “โพธิจิต” และเนื่องจากเส้นทางเป็นเช่นนี้ สิ่งสำคัญยิ่งในการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ก้ได้แก่การมีจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาและกรุณาแก่สรรพสัตว์ การมีจิตใจเช่นนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีการฝึกปฏิบัติขันติบารมี ขันติบารมีได้แก่การที่เราฝึกฝนสั่งสมบ่มเพาะในจิตใจ ซึ่งจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาและไม่ถือโกรธ ไม่มีจิตอาฆาตพยาบาทใดๆแม้แต่น้อยแตสัตว์โลก ไม่ว่าสัตว์โลกนั้นจะมาให้ร้ายหรือทำร้ายเรามากเพียงใดก็ตาม จะเห็นได้ว่าขันติบารมีเป็นแก่นกลางของการปฏิบัติตามแนวทางของพระโพธิสัตว์ก็ว่าได้ ริมโปเชได้กล่าวถึงข้อเขียนของท่านศานติเทวะใน “วิถีชีวิตของพระโพธิสัตว์” ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า อันความโกรธนั้นหากเกิดขึ้นแม้เพียงชั่ววูบเดียว ก็อาจทำลายบุญบารมีที่ตนเองได้สั่งสมมาเป็นเวลาอันนับชาติไม่ถ้วน แต่หากความโกรธวูบเดียวนั้นก็จะเหมือนกับเพลิงที่เผาผลาญบุญบารมีที่ได้สั่งสมมาให้หายไปหมดสิ้นในเวลาชั่วพริบตา ริมโปเชเล่าว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน ก่อนที่ทิเบตจะแตกแก่จีนไม่นาน มีพระอาจารย์รูปหนึ่งปฏิบัติธรรมจนมองเห็นอนาคตได้ ท่านได้มองเห็นอนาคตอันน่ากลัวที่ทิเบตจะต้องได้รับและก็ได้กล่าวตักเตือนผู้คนถึงภัยคุกคามที่กำลังมาเยือน เมื่อท่านกล่าวเช่นนี้ก็มีคนผู้หนึ่งคนไม่ได้ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าทิเบตจะประสบภัยหายนะอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็เกิดความโกรธเป็นกำลัง และก็ได้ลุกขึ้นมาชกหน้าพระอาจารย์ท่านนี้เข้าอย่างแรง พระอาจารย์มิได้ตอบโต้ใดๆ และก็มิได้มีความรู้โกรธเคืองใดๆ ตรงกันข้ามท่านกลับกล่าวขึ้นว่าท่านได้ปฏิบัติธรรมมาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ไม่มีโอกาสได้ฝึกขันติบารมีอย่างจริงๆจัง เพิ่งมีคราวนี้นี่แหละที่ได้มีโอกาสปฏิบัติบารมีข้อนี้อย่างจริงจัง การปฏิบัติขันติบารมีมิได้หมายความเพียงแค่ว่า เมื่อมีใครมาทำร้ายเรา เราจะไม่ทำร้ายตอบและข่มความโกรธขึ้นในใจไว้ แต่หมายความว่าเมื่อเกิดอะไรร้ายแรงหรือเจ็บปวดแก่ตัวเรา เราจะรับเอาความเจ็บปวดนั้นไว้ และมองความเจ็บปวดนั้นว่าเป็นครูของเรา ที่มาช่วยเหลือเราให้เดินทางไปบนเส้นทางแห่งโพธิจิตอย่างมั่นคง ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครมาทำร้ายเรา แต่เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงหรือความเจ็บปวดขึ้น เราก็จะไม่เสียใจหรือร้องโวยวายว่าเหตุใดโรคร้ายกับความเจ็บปวดนี้จึงเกิดแก่เรา ทำไมคนอื่นถึงไม่เป็นบ้าง ทำไมต้องมาเป็นเรา การคิดเช่นนี้สวนทางกับการฝึกปฏิบัติขันติบารมีอย่างยิ่ง แทนที่จะคิดว่าทำไมต้องเป็นเราที่เกิดมาเจ็บป่วยตรงนี้ เราก็คิดว่าความเจ็บป่วยและเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำในอดีต ซึ่งสัตว์โลกที่ยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏทุกตัวตนต้องประสบทั้งสิ้น แทนที่เราจะมาเสียใจหรือโกรธเคืองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราน่าจะมองความเจ็บปวดนี้ว่าเป็นบททดสอบที่มาทดสอบว่า เราผ่านการปฏิบัติหัวช้อขันติบารมีหรือยัง การปฏิบัติเช่นนี้ที่ประกอบไปด้วยความเข้าใจแจ้งถึงบทบาทหน้าที่และความสำคัญยิ่งของโพธิจิตและแนวทางของพระโพธิสัตว์ ก็คือการปฏิบัติขันติบารมีด้วยปัญญาอันยิ่งนั่นเอง บารมีหัวข้อต่อไปได้แก่วิริยบารมี วิริยะก็คือความพากเพียร ท่านศานติเทวะกล่าวว่าความพากเพียรนี้ไม่ได้หมายความแต่เพียงความไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก และตั้งใจจริงที่จะทำให้สำเร็จ แต่ยังหมายถึงการมีจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน ไม่ท้อถอยแม้งานข้างหน้าจะยากเย็นเพียงใด วิริยบารมีจึงไปควบคู่กับขันติบารมีในแง่นี้ การดูว่าผู้ปฏิบัติคนใดเกิดมีวิริยบารมีแล้วก็คือดูว่าเขามีจิตใจที่เบิกบานในการปฏิบัติของเราหรือไม่ หรือว่าปฏิบัติไปเพียงเพราะถูกบังคับ หรือเพราะมีจิตปรารถนาเป้าหมายอื่นใดอันไม่ใช่เป้าหมายทางธรรม เช่นบางคนปฏิบัติธรรมเพราะอยากขึ้นสวรรค์ แบบนี้ริมโปเชบอกว่าไม่ใช่ตัวอย่างที่ถูกต้องของวิริยบารมี จริงอยู่คนที่อยากขึ้นสวรรค์นั้นอาจมีความขยันขันแข็งในการปฏิบัติมาก แต่เนื่องจากแรงจูงใจและเป้าหมายของเขาไม่ถูกต้อง เขาจึงไม่มีจิตใจที่เบิกบานอย่างแท้จริง การจะมีจิตใจที่เบิกบานไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆของการปฏิบัตินั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมาจากความเข้าใจที่ถูกต้องถ่องแท้เกี่ยวกับเป้าหมายของการปฏิบัติ และความสำคัญของการปฏิบัตินี้ ซึ่งก็คือปัญญาในวิริยบารมี บารมีประการที่ห้าได้แก่การปฏิบัติสมาธิ หรือเรียกเป็นภาษาบาลีว่า “ฌานบารมี” (ภาษาสันสกฤตว่า “ธฺยานปารมิตา”) ฌานบารมีหรือการปฏิบัติสมาธิในที่นี้ได้แก่การปฏิบัติสมถสมาธิ จิตใจของเราจะจดจ่อแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ริมโปเชกล่าวว่าแนวทางหนึ่งของการปฏิบัติได้แก่การนั่งสมาธิมองดูองค์พระพุทธรูป หรือไม่ก็มองดอกบัวสีน้ำเงิน เป้าหมายคือให้จิตใจแน่วแน่จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ริมโปเชได้เน้นถึงความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติสมาธิสองแบบ คือแบบที่ถูกต้องกับไม่ถูกต้อง ความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องในที่นี้ไม่ได้หมายถึงวิธีการทำสมาธิว่าถูกหรือไม่ถูก แต่อยู่ที่เป้าหมายและแรงจูงใจในการปฏิบัติเป็นสำคัญ หากเป้าหมายถูกต้อง คือปฏิบัติสมาธิไปเพื่อให้เข้าถึงความสามารถที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในพ้นจากสังสารวัฏ ก็จะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่หากเป็นเป้าหมายอื่น เช่นเป้าหมายส่วนตัวของตนเอง เช่นปฏิบัติไปเพื่ออยากขึ้นสวรรค์ ก็จะเป็น “มิจฉาสมาธิ” คือสมาธิที่ไม่ถูกต้อง ริมโปเชเล่าถึงพระญาติของพระพุทธเจ้าท่านหนึ่ง ชื่อว่าพระนันทะ พระนันทะเป็นพระภิกษุที่หลงติดยึดกับรูปรสกลิ่นเสียงเป็นอย่างมาก พระพุทธเจ้าต้องการให้พระนันทะถอนตัวออกจากเรื่องเหล่านี้ ในขณะนั้นพระนันทะกำลังหลงรูปของผุ้หญิงคนหนึ่งเป็นอย่างมาก เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่สวยที่สุดไม่มีใครเสมอเหมือน พระพุทธเจ้าทรงถามพระนันทะว่าอยากเห็นคนที่สวยกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าหรือไม่ พระนันทะบอกผู้หญิงแบบนั้นไม่มีอยู่ในโลก พระพุทธเจ้าบอกว่ามี แล้วก็พาพระนันทะไปท่องเที่ยวบนสวรรค์ ซึ่งบนนั้นมีผู้หญิงเป็นจำนวนมากที่สวยกว่าผู้หญิงของพระนันทะคนนั้นอย่างที่เปรียบเทียบกันไม่ได้ พระนันทะเมื่อเห็นสาวงามบนสวรรค์แล้วก็เกิดจิตใจอยากครอบครองสาวๆเหล่านั้น และก็ลืมผู้หญิงคนเดิมเสียสนิท เมื่อกลับมายังโลกพระนันทะก็ตั้งใจปฏิบัติสมาธิอย่างแข็งขันด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นว่า จะไปเสวยสุขกับสาวงามบนสวรรค์เมื่อถึงเวลา แต่พระพุทธเจ้าก็พาพระนันทะไปท่องเที่ยวบนสวรรค์อีก และก็เร่งเวลาให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เทพบุตรเทพธิดาบนสวรรค์ เมื่อเทพเหล่านี้หมดบุญต้องออกจากสวรรค์ เทพเหล่านี้เมื่อรู้ว่าตนเองจะไม่ได้อยู่บนสวรรค์อีกต่อไป ก็เกิดอาการเศร้าโศกเสียใจต่างๆนานา ด้วยผลกรรมของความรู้สึกเช่นนี้เหล่าเทวดาจึงต้องไปเกิดในนรกภูมิ พระนันทะเห็นเช่นนี้แล้วจึงมองเห็นว่า ความสวยงามของมนุษย์หรือเทพธิดานั้นเป็นของลวงตาเท่านั้น ไม่มีสาระอะไร ท่านจึงตั้งใจปฏิบัติ คราวนี้ไปตามแนวทางที่ถูกต้อง และในท้ายที่สุดท่านก็บรรลุธรรมเป็นอรหันต์อีกรูปหนึ่ง คาสิโนออนไลน์

ประเทศญี่ปุ่นกับพระพุทธศาสนา

June 10, 2019 shantideva 0

ตามหลักฐานต่าง ๆ ปรากฏว่า พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ประมาณ พ.ศ. ๑๐๙๕ โดยผ่านจีน เกาหลี เข้าสู่ญี่ปุ่น พระเจ้าแผ่นดินประเทศเกาหลีที่ปกครองรัฐคุดารา ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ได้ส่งสมณะทูตพร้อมทั้งพระพุทธรูป และพระสูตรหลายคัมภีร์ไปถวายพระเจ้ากิมเมอิจักพรรดิองค์ที่ ๒๙ ของญี่ปุ่น ซึ่งในสมัยนั้นประเทศญี่ปุ่นนับถือศาสนาชินโตกันอยู่แล้ว ต่อมาก็มีพระภิกษุชาวเกาหลีเข้าไปสู่ประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น เมื่อพระพุทธศาสนาได้ตั้งมั่นลงในญี่ปุ่น พวกที่นับถือศาสนาชินโตกับพวกที่นับถือพระพุทธศาสนาก็เกิดการขัดแย้งกัน shantideva.net ครั้นถึงสมัยแผ่นดินพระนางซุยโก พ.ศ. ๑๑๓๖ – ๑๑๗๑ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาทางราชการแทนศาสนาชินโต เลิกขัดแย้งกัน กลมเกลียวกัน พ.ศ. ๑๑๔๗ เจ้าชายโชโทขุ นอกจากจะสนใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนาแล้ว ยังได้ส่งทูตและนักศึกษาพระพุทธศาสนาไปประเทศจีน ได้สร้างวัดพระพุทธศาสนา พวกที่ถูกส่งไปประเทศจีนได้นำนิกายที่กำลังเจริญในประเทศจีนมาประเทศญี่ปุ่นถึง ๖ นิกายด้วยกัน นิกายมหายานที่สำคัญของญี่ปุ่นก็คล้ายคลึงกันกับนิกายในประเทศจีนเป็นส่วนมาก ความกลมกลืนระหว่างพระพุทธศาสนา และศาสนาชินโตนั้น ในญี่ปุ่นเป็นดังนี้ เทวดาในศาสนาชินโต ก็คือพระพุทธะและพระโพธิสัตว์มาเกิด (อวตาร) พระในพระพุทธศาสนาดูแลวัดชินโต แต่มีเว้นวัดที่สำคัญเช่นวัดอิเซะ อซุโมะ ความปนเปกันให้กลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งของเก่าและของใหม่นี้ เป็นแนวทางแห่งนิกายมหายาน แต่เมื่อว่าโดยความจริงแล้ว ความเชื่อถือทั้งหลายเป็นเรื่องของศรัทธาเป็นความยึดถือไม่ว่าจารีตประเพณี หรือศาสนาของชาติใด ๆ ก็ตาม ย่อมมีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ข้อแตกต่างกันก็อยู่ที่มากหรือน้อยเท่านั้นเอง นิกายเถรวาทของแต่ละประเทศที่พระสงฆ์และชาวบ้านปฏิบัติกัน ย่อมมีทั้งเหมือนกันและแตกต่างกัน ข้อที่แตกต่างกันแสดงว่าเป็นเรื่องของประเพณีของชาตินั้น ๆ โดยเฉพาะ ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา นิกายมหายานในประเทศญี่ปุ่นนั้นได้กล่าวไว้ในนิกายมหายานในประเทศจีน zombiejunkyard.com

ประเทศทิเบตกับพระพุทธศาสนา

June 9, 2019 shantideva 0

ภายหลังที่ได้ครองอำนาจแผ่นดินใหญ่จีน คอมมิวนิสต์ได้ยาตราทัพเข้าครอบครองทิเบต ประมุขของทิเบต คือ  คาสิโนออนไลน์ ดาไล หรือ ทะไล ลามะ ได้เสด็จหนีไปประเทศอินเดีย ดาไล ลามะ ได้เคยเสด็จมาประเทศไทย ประมุขของทิเบตเป็นพระมีอำนาจสูงสุดปกครองประเทศเหมือนพระมหากษัตริย์ พระพุทธศาสนาในประเทศนี้เป็นนิกายมหายาน เลียนแบบนิกายลามะ คาสิโนออนไลน์ ก่อนพระพุทธศาสนาเข้าไป ชาวทิเบตนับถือผี มีพ่อมดหมอผีที่เรียกว่าซามัน เป็นผู้ประกอบพิธีทางลัทธิ มีการบวงสรวงเทวดา ตามตำนานบอกเล่าของชาวทิเบตเอง อ้างว่าพระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศของตนเมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ ปี แต่ที่ถือกันโดยทั่วไปว่าเข้าไปประมาณ พ.ศ. ๑๑๐๐ ปี เมื่อพระพุทธศาสนาเข้าไปแล้ว พระพุทธศาสนาที่เข้าไปทิเบตนั้นเป็นนิกายตันตระ ซึ่งเจริญรุ่งเรืองในอินเดียภาคเหนือ เป็นศาสนาที่เจือปนกับพราหมณ์นิกายที่บูชาพระศิวะ แล้วได้แผ่เข้าไปตั้งมั่นในทิเบตเป็นครั้งแรก ต่อมาได้มีการติดต่อกันที่สำคัญ ๆ อีกหลายครั้งระหว่างอินเดียกับทิเบตพระพุทธศาสนาที่เข้าไปสู่ทิเบตนั้น เป็นพระพุทธศาสนาบางส่วน นอกนั้นเป็นเรื่องผีและเทวดา เวทมนตร์ กลมกลืนกันดีกับที่ชาวทิเบตนับถืออยู่เดิม มีเรื่องราวโดยสังเขปดังนี้ สมัยแรก พระเจ้าสรวงเจ็นคัมโป เป็นประมุขที่ทรงวางรากฐานพระพุทธศาสนาในทิเบต โดยอาศัยแรงหนุนของพระมเหสีที่เป็นราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีน และเนปาลซึ่งเป็นผู้เลือมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่ก่อนแล้ว ทำให้พระเจ้าสรวง เจ็นคัมโป นับถือพระพุทธศาสนาทรงสร้างอารามขึ้น สมัยต่อมาอีกประมาณ ๑๐๐ ปีเศษ พระเจ้าแผ่นดินทิเบตได้นิมนต์ท่านปัทมภพ (บางแห่งเรียก ปทุมสมภพหรือคุรุปัทมสมภพ) ผู้มีชื่อเสียงจากสำนักตักศิลาเมืองนาลันทา พร้อมกับคณะไปทิเบต และได้แปลคัมภีร์เป็นภาษาทิเบตแต่ก็มีบุคคลคณะหนึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมนับถือลัทธิเดิมของทิเบตคอยขัดขวางอยู่ด้วย สมัยรุ่งเรือง เป็นสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของนิกายลามะและได้แผ่ขยายไปทั่วทิเบตในสมัยหลังสุดนี้ สมัยนี้ได้เริ่มต้นประมาณ พ.ศ. ๑๕๑๘ พระภิกษุมหายานรูปหนึ่งเป็นชาวอินเดียชื่ออติศะ เดินทางจากอินเดียไปทิเบต ได้ปรับปรุงพระศาสนานิกายนี้อย่างใหญ่หลวง ได้ตั้งนิกายลามะใหม่อีกนิกายหนึ่ง ชื่อ เกาลุกปะ สร้างวัดนิกายนี้อีกมากระดมกำลังแปลคัมภีร์ ต่อมามีพระในนิกายนี้มีชื่อเสียงอีกหลายองค์ มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าอาจารย์ เป็นกำลังสำคัญในการประกาศศาสนานิกายเกาลุกปะ เป็นนิกายใหญ่ที่มีคนนับถือมาก ลามะที่มีชื่อเสียงล้วนอยู่ในนิกายนี้ ประมุขของทิเบต เช่น ดาไล ลามะ และปันเชนลามะ ก็อยู่ในนิกายนี้ มีหมวกสีเหลืองประจำคณะ คณะอื่นเป็นหมวกสีแดง พวกถือนิกายดั้งเดิม อนุรักษ์นิยม มีหมวกสีดำเป็นเครื่องหมาย ดาไล ลามะ ปกครองประเทศเมื่อประมาณ ๖๐๐ ปี เศษ ๆ มานี่เอง ที่อำนาจการปกครองประเทศตกมาอยู่ในอำนาจของนักบวชลามะ คือเมื่อ พ.ศ. ๑๙๕๐ เศษ มีลามะชื่อ ตสองขปะ ในนิกายกดัมปะ พระภิกษุอินเดียชื่ออตีศ เป็นผู้ตั้งนิกายนี้ขึ้นในประเทศทิเบต ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อนิกายนี้ใหม่ว่า เคลุคปะ ซึ่งเป็นนิกายใหญ่และมีอำนาจมากทั้งได้ควบคุมนิกายอื่น ๆ ทั้งหมดไว้ในอำนาจ พ.ศ ๒๑๓๘ คุสริข่าน กษัตริย์ตาดตีประเทศทิเบตได้ยกอำนาจการปกครองให้แก่ลามะ ชื่อนักวังโลษัง ซึ่งเป็นประธานลามะในเวลานั้น ในเวลาต่อมากษัตริย์จีนได้เห็นชอบด้วยโดยมีนามตามภาษาว่าทไล หรือ ตะเล ซึ่งแปลว่ากว้างใหญ่เหมือนทะเล ในสมัยนั้นได้สร้างวังใหญ่ชื่อโปตละหรือโปตลา ที่ประทับขององค์ประมุขจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เมื่อกองทัพจีนเข้ายึดครองประเทศทิเบต ภายหลังที่พรรคจีนคอมมิวนิสต์ยึดแผ่นดินใหญ่ได้ ดาไล ลามะ พร้อมด้วยคณะ และผู้ติดตามได้หนีไปลี้ภัยอยู่ในประเทศอินเดีย โลกภายนอกไม่ทราบว่าศาสนาในทิเบตจะคงอยู่หรือไม่อย่างไร มีใครเป็นประมุขแทนหรือไม่ คาสิโนออนไลน์

ทำไม “คนอกหัก” จึงชอบเข้าวัด?

June 8, 2019 shantideva 0

ป็นคำถามที่น่าสนใจไม่น้อย…โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่เคยผ่านประสบการณ์นี้มากับตัวเอง จึงพอจะมีความเข้าใจภาวะของคนที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้อยู่บ้าง สิ่งแรกต้องทำความเข้าใจคนที่ตกอยู่ในสภาพอกหักเสียก่อนว่า เกิดจากความไม่สมหวังในความรัก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม รักเขาแต่เขาไม่รัก หรือเขารักแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ “การไม่ถูกเลือก” อันนำมาซึ่งความผิดหวัง และเกิดเป็นคำถามขึ้นในใจวนเวียนอยู่ในความคิดว่า “ทำไมเขาไม่เลือกฉัน?” ซึ่งช่วงเวลานี้เองที่อารมณ์ของการสูญเสียจะทรงพลังเป็นอย่างมาก สามารถทำให้คนที่หลงไปกับอารมณ์นี้เกิดอาการต่างๆ นานาได้มากมายอย่างที่เราอาจเคยได้ยิน ไม่กินข้าวกินปลา นอนไม่หลับ ทำงานไม่ได้ ไม่มีใจจะทำอะไรทั้งสิ้น บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นทำร้ายตัวเองและเสียชีวิตก็มีให้เห็นไม่น้อย shantideva.net จากประสบการณ์ของตัวเองที่เคยพบกับความรู้สึกนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากพอสมควร กว่าที่จะค้นพบว่าจริงๆ แล้ว อารมณ์แห่งความสูญเสียทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งของใจเราเอง ซึ่งเป็นเพราะเราเอาใจของเราไปผูกติดกับเขาไว้ และเฝ้าสนใจเพียงสิ่งที่เขาทำ เวลาที่เขาทำดีเราก็หลงไปกับความหวือหวาที่เชื่อว่ามันคือความสุข แต่เวลาเขาปฏิเสธเราหรือสนใจคนอื่นมากกว่า เราก็จะรู้สึกว่าถูกทำร้ายจิตใจอย่างมาก มันช่างเป็นความทุกข์เสียเหลือเกิน เกิดเป็นอารมณ์สลับกับไปมาอยู่เช่นนี้ จนหลงลืมที่จะดูตัวเอง อยู่กับตัวเอง ลืมที่จะพิจารณาโดยการมองตัวเองว่าเป็นอย่างไรในขณะที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์แห่งการสูญเสีย เมื่อจิตใจไม่ให้ความสำคัญกับตัวเองก็จะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่มีความหมาย โชคยังดีที่ในเวลานั้นตัวผู้เขียนยังพอมีสติเตือนตัวเองให้หันกลับมามองหาสาเหตุแห่งทุกข์ และพยายามหาทางออกจากความทุกข์ให้กับตัวเองด้วยวิธีต่างๆ พยายามที่จะไม่อยู่คนเดียวเพราะไม่อยากฟุ้งซ่าน พยายามไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไป เลี่ยงสถานที่ที่เป็นภาพความทรงจำ ซึ่งก็ช่วยบำบัดได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น จนกระทั่งได้ลองเข้าวัดและปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองก็พบว่านอกจากจะได้เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนกิจวัตรประจำวันแล้ว การที่ได้มาปฏิบัติธรรมยังทำให้ได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง มีเวลาที่จะได้พิจารณาตัวเองถึงสภาวะปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร มองเห็นคุณค่าในตัวเอง เรียกว่าเอาหัวใจจากคนๆ นั้นคืนกลับมาอยู่ที่ตัวเองได้ และได้พบว่าจริงๆ แล้วความปรุงแต่งต่างหากที่ทำร้ายเรามาตลอดเวลา เมื่อคนที่เคยทำให้รู้สึกเจ็บช้ำในหัวใจไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือใจเราได้อีกต่อไป ทุกอย่างก็เบาลง ความทุกข์ที่เคยคิดว่าหนักหนาก็จะมองเห็นว่าจริงๆ แล้วมันก็แค่เรายอมรับความจริงไม่ได้เท่านั้นเอง และเมื่อเราเปิดใจยอมที่จะรับความจริงที่เกิดขึ้น แล้วดำเนินชีวิตต่อไปอย่างที่ควรจะเป็นโดยไม่หลงลืมที่จะอยู่กับตัวเอง เราก็จะใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถทำได้เช่นกัน zombiejunkyard.com

จะรู้ได้อย่างไร? ว่าได้ใส่บาตรกับ “พระสงฆ์ที่แท้จริง”

June 7, 2019 shantideva 0

ต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่าในปัจจุบันข่าวคราวของพระปลอม หรือผู้ที่อาศัย “ผ้าเหลือง” กระทำเรื่องอันมิใช่กิจของสงฆ์ที่พึงกระทำนั้นมีอยู่มากมาย บางเรื่องก็รุนแรงต่อความรู้สึกของผู้คนในสังคมซึ่งเป็นชาวพุทธ จนอาจทำให้เกิดความลังเลใจ ไม่สบายใจ คิดสงสัยเมื่อจะทำบุญทำทานต่อพระภิกษุ แม้แต่ “การตักบาตร” หรือที่ในปัจจุบันนิยมเรียกว่า “ใส่บาตร” ธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงาม ซึ่งพุทธศาสนิกชนได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล แต่เมื่อมาถึงยุคสมัยนี้ กลับมีหลายคนที่ต้องหันมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า…นี่เรากำลังใส่บาตรกับพระภิกษุที่แท้จริงอยู่หรือเปล่า? การออกบิณฑบาตของภิกษุสงฆ์จัดอยู่ใน “นิสสัย ๔” หรือกิจที่สงฆ์พึงทำตลอดชีวิตซึ่งพระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้อันได้แก่ การออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ อยู่ตามโคนไม้ นุ่งผ้าบังสุกุล และฉันยาดองน้ำมูตรเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และเหตุที่พระภิกษุต้องออกบิณฑบาตทุกวัน เนื่องจากตามกฎของภิกษุสงฆ์นั้นระบุไว้ว่า “พระภิกษุไม่สามารถที่จะเก็บอาหารข้ามคืนได้” ซึ่งโดยส่วนใหญ่พระภิกษุจะออกบิณฑบาตตั้งแต่ช่วงเช้ามืด จนถึงก่อน ๗ นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาที่พระภิกษุฉันอาหารมื้อเช้า ในขณะที่ออกบิณฑบาต พระภิกษุจะต้องเดินในกิริยาสำรวม ใช้มือทั้งสองประคองบาตรเอาไว้ ไม่ร้องขออาหารจากผู้คน หรือแสดงกิริยาในการขอ หรือยืนรอการใส่บาตร ณ ที่ใดที่หนึ่งนอกจากได้รับนิมนต์ให้รอ ไม่สามารถที่จะเลือกได้ว่าจะรับหรือไม่รับนิมนต์ และต้องรับของที่มีผู้นำมาใส่บาตรเพื่อทำทานทั้งหมด ไม่เลือกรับของหรือร้องขอสิ่งนั้นสิ่งนี้ตามความต้องการ คาสิโนออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การออกบิณฑบาตของภิกษุสงฆ์เป็นกิจเพื่อส่งเสริมความมีวิริยะ อุตสาหะ ความพากเพียร อันเป็นเครื่องช่วยปราบกิเลสตัณหาชำระความโลภ โกรธ หลง ภายในจิตใจ และตระหนักถึงแก่นสำคัญของการบวชในพระพุทธศาสนา ในขณะเดียวกัน ความหมายสำคัญที่ซ่อนอยู่ในการใส่บาตรคือเพื่อเป็นการขัดเกลาจิตใจให้พุทธศานิกชนรู้จักการให้ รู้จักการเสียสละ ละ วาง เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อื่น ซึ่งหากเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการใส่บาตรและการออกบิณฑบาตของพระสงฆ์แล้ว ก็จะช่วยให้พุทธศาสนิกชนสามารถนำไปใช้เป็นข้อพิจารณาในการใส่บาตรได้เป็นอย่างดี คาสิโนออนไลน์

ให้พึ่งตน พึ่งธรรม

June 6, 2019 shantideva 0

อานนท์ ! เราได้กล่าวเตือนไว้ก่อนแล้วมิใช่ หรือว่า “ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็น อย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ย่อมมี; อานนท์ ! ข้อนั้น จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา, สิ่งนั้น อย่าชำรุดไปเลย ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้”. อานนท์ ! เปรียบเหมือนเมื่อต้นไม้ใหญ่ มีแก่น เหลืออยู่ ส่วนใดเก่าคร่ำกว่าส่วนอื่น ส่วนนั้นพึงย่อยยับ ไปก่อน, ข้อนี้ ฉันใด; อานนท์ ! เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่มี ธรรมเป็นแก่นสารเหลืออยู่, สารีบุตรปรินิพพานไปแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน. อานนท์ ! ข้อนั้น จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแล้ว มีความ ชำรุดไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้. อานนท์ ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ. อานนท์ ! ภิกษุ มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ, มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็น สรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? อานนท์ ! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่, พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเนือง ๆ อยู่, พิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่, พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนือง ๆ อยู่; มีเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้. อานนท์ ! ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่ามีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็น ประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไป แห่งเราก็ดี ใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตน เป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์ ! ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา, ภิกษุพวกนั้น จักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด.

วันวิสาขบูชา และประวัติความเป็นมา

June 5, 2019 shantideva 0

ความหมาย คำว่า “วิสาขบูชา” หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขบูชา ย่อมาจาก ” วิสา – ขบุรณมีบูชา ” แปลว่า ” การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ” ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองครั้ง ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน ๗ ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง ๓ คราวคือ คาสิโนออนไลน์ เป็นวันประสูติ เมื่อพระนางสิริมหามายาอัครมเหสีในพระเจ้าสุโททะนะ ทรงมีพระประสูติกาลคือ เจ้าชายสิทธัตถะ ณ ป่าลุมพินีวัน ซึ่งเป็นดินแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ กับกรุงเทวทหะ ปัจจุบันเรียกว่า ตำบลรุมมินเด แขวงเปชวาร์ ประเทศเนปาล ครั้งนั้นตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เป็นวันตรัสรู้ หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงถือเพศฆราวาสมา 29 พรรษา จนมีพระโอรสคือ พระราหุล แล้วทรงเบื่อหน่ายทางโลก จึงเสร็จออกบรรพชา ทรงประจักษ์หลักธรรมขึ้นในพระปัญญษ และได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย) ตรงกับวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ( ขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนม์มายุได้ 35 พรรษา หลังจากออกผนวช ได้ 6 ปี ) วันปรินิพพาน หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ทรงใช้เวลาทั้งหมดเผยแพร่พระศาสนาและสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน จนพระชนมายุได้ 80 พรรษาก็เสร็จดับขันธปรินิพาน ณ สาลวโนทยาน แขวงเมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตรงกับวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ก่อนพุทธศักราช 1 ปี นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง 3 เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกัน นับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิต ได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลก องค์การสหประชาชาติกำหนดให้วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก คาสิโนออนไลน์

ถวายพระด้วยบัวแปดดอก

June 4, 2019 shantideva 0

ในสมัยของพระพุทธเจ้าทีปังกร ณ เมืองปัจจันตคาม สาวน้อยนางหนึ่งนามว่า สุมิตตา ได้ร่วมกับชาวเมืองช่วยกันทำทางเพื่อรับเสด็จพระทีปังกรพุทธเจ้า และพระสาวก ในขณะที่ทุกคนกำลังหักร้างถางพงอยู่นั่นเอง ฤาษีตนหนึ่งนามว่า สุเมธดาบส ก็เหาะมาในอากาศ สุเมธดาบส เห็นชาวเมืองชุมนุมกันอยู่จำนวนมาก จึงลอยตัวลงมาถามว่า ชาวบ้านมาชุมนุมกันเพราะเหตุใด ครั้นทราบว่าชาวบ้านกำล้งช่วยกันทำทางเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้า สุเมธดาบส จึงอาสาร่วมมือด้วย แต่ถึงแม้จะเร่งมือทำอย่างสุดชีวิต ทางก็ยังไม่เสร็จ เมื่อขบวนพระอริยสงฆ์มาถึง ก็ยังมีทางขาดอยู่ขนาดเท่าช่วงตัวพอดี ด้วยความศรัทธา สุเมธดาบสจึงนอนลงกับพื้นโคลน และนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าและพระสาวกเดินเหยียบลงบนตัว ครั้งนั้น พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงทำนายว่า ในภายภาคหน้าอีกหลายภพ หลายชาติ สุเมธดาบสจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อสุมิตตาได้ยินดังนั้น ก็เกิดความเลื่อมใสในสุเมธดาบสสุดหัวใจ นางจึงรีบไปเก็บดอกบัวแปดดอกมาถวายพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งขอพรจากพระองค์ว่า “ด้วยกุศลผลบุญที่หม่อมฉันได้สักการะบูชาพระพุทธองค์ในครั้งนี้ ขอให้สุเมธดาบสจงเป็นสามีของหม่อมฉันในภายภาคหน้าด้วยเถิด” ด้วยแรงอธิษฐานของนาง ที่ได้ถวายดอกบัวแปดดอกในครานั้น ทำให้ทั้งคู่ได้เกิดเป็นคู่สามีภรรยากันอีกหลายภพหลายชาติ แม้บางชาติจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์ทิพย์ หรือเป็นมนุษย์ แต่สุดท้ายก็สามารถบรรลุธรรมในชาติเดียวกัน นางสุมิตตา ในครั้งนั้นคือพระนางพิมพา ส่วนสุเมธดาบส คือพระพุทธโคดม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง …….

June 3, 2019 shantideva 0

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมชายไทยก่อนบวชต้องเป็นนาค ยังเรียกว่า บวชนาค ด้วย ลองมาสืบหาต้นเหตุของประเพณีการบวชนาคในปัจจุบันกันเถอะ คาสิโนออนไลน์ ครั้งสมัยพุทธกาลมีนาคตนหนึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เมื่อฟังธรรมมากเข้าก็เกิดความรังเกียจในชาติกำเนิดของตนเอง นาคคิดหาวิธีที่จะทำให้เกิดเป็นมนุษย์ นาคระลึกถึงพระพุทธเจ้าเห็นว่าทรงเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ การบวชเป็นพระภิกษุในสำนักของพระพุทธเจ้าคงเป็นหนทางที่ช่วยได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงจำแลงร่างเป็นมนุษย์แล้วเข้าไปขอพระเถระบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อพระภิกษุทั้งหลายยินยอมให้นาคจำแลงบวช นาคในร่างของพระภิกษุก็ปฏิบัติศาสนกิจต่าง ๆ เหมือนพระภิกษุทั่วไป แล้วเลือกจำวัดยังกุฏิท้ายสุดของพระวิหารร่วมกับพระภิกษุรูปหนึ่ง ตอนหลับนาคก็ไม่ยอมหลับเพราะกลัวว่าตนจะคืนร่างเดิม พอพระภิกษุเพื่อนร่วมกุฏิออกไปเดินจงกรม นาคก็วางใจหลับนอนไปร่างจึงกลายเป็นนาคดังเดิม ต่อมาพระภิกษุรูปนั้นกลับมายังกุฏิเห็นนาคนอนขดอยู่ในกุฏิก็ตื่นกลัว จึงร้องเสียงดังจนพระภิกษุรูปอื่นสงสัยพากันเข้ามาดู เมื่อภิกษุทั้งหลายมาถึงกุฏิที่นาคนอนขดอยู่ก็ถามขึ้นว่า “ท่านร้องเสียงดังด้วยเรื่องอะไร” พระภิกษุผู้พบนาคนอนอยู่ในกุฏิตอบว่า “ท่านทั้งหลาย กุฏิของเรามีนาคนอนอยู่” เมื่อนาคได้ยินเสียงคนข้างนอกก็ตื่นขึ้น แล้วกลายเป็นพระภิกษุตามเดิม พระภิกษุทราบแล้วว่าพระภิกษุรูปนี้เป็นนาคจำแลงมาจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร” นาคตอบว่า “เราเป็นนาค” พระภิกษุทั้งหลายถามต่อว่า “แล้วท่านทำเช่นนี้เพราะเหตุใด” นาคจึงเล่าสาเหตุที่ต้องจำแลงร่างเป็นคนมาบวชให้เหล่าพระภิกษุฟัง คาสิโนออนไลน์ @@@@@@ พระภิกษุทั้งหลายนำเรื่องทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงประกาศให้ประชุมสงฆ์ จากนั้นพระองค์ตรัสกับนาคว่า “เธอเป็นนาค ไม่สามารถเจริญในพระธรรมวินัยของเราได้ หากเธอปรารถนาเป็นมนุษย์ ขอให้เธอรักษาศีล 8 ในวันที่ 14, 15 และ 8 ผลบุญแห่งศีลจะส่งผลให้เธอพ้นจากชาติกำเนิดที่เป็นนาค และจะได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาติถัดไป” นาคฟังคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่านาคไม่สามารถเจริญในพระธรรมวินัยของพระองค์ได้ ก็บังเกิดความเสียใจ ส่งเสียงร้องไห้แล้วจากไป สาเหตุหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้นาคบวช เพราะนาคเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากเหตุการณ์นาคจำแลงเป็นมนุษย์มาบวช กลายเป็นคำถามในคำขอบรรพชาที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ดังคำที่ว่า “มะนุสโสสิ” (เธอเป็นมนุษย์หรือไม่) คำถามนี้เป็นการเตือนใจให้กับคณะสงฆ์ยึดมั่นในพระวินัยของพระพุทธเจ้า ยังเป็นการสะท้อนถึงความใส่ใจของคณะสงฆ์ในการตรวจสอบที่มาที่ไปของผู้บวชอีกด้วย นาคปรารถนาเกิดเป็นมนุษย์ มีมานานแล้ว อดีตพระชาติหนึ่งของพระราหุลเคยเกิดเป็นนาคมีนามว่า “ปฐวินทรนาคราช” ก็มีความรู้สึกรังเกียจในชาติกำเนิดของตนเองที่มีรูปลักษณ์ที่น่ารังเกียจ จนกระทั่งนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกมายังนาคพิภพ ในตอนนั้นเองนาคได้เห็นสามเณรน้อยน่าเลื่อมใส สามเณรน้อยรูปนี้คือพระโอรสของพระพุทธเจ้า นาคจึงอธิษฐานขอให้ในภายภาคหน้าได้เกิดเป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระองค์ใดในอนาคต ต่อมาในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้าจึงได้กำเนิดเป็นเจ้าชายราหุล พระโอรสแห่งเจ้าชายสิทธัตถะกับเจ้าหญิงยโศธรา ภูริทัตชาดก นิทานที่เล่าถึงอดีตพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่ทรงเกิดเป็นนาค ก็มีความปรารถนาอยากเกิดเป็นเทวดา ท้าวสักกเทวราชทรงชี้แนะให้พระภูริทัตต์รักษาศีลจะได้เกิดเป็นเทวดาในภายภาคหน้า การที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้นาคสึกแล้วเปลี่ยนมาถือศีลแทน เพราะศีลมีอานิสงส์ให้เกิดในสุคติภูมิคือโลกมนุษย์และสวรรค์ คาสิโนออนไลน์

ปัจเจกพุทธาปทาน

June 2, 2019 shantideva 0

…ในตอนนี้ขอนำหลักฐานจาก “พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒” มาอ้างอิงไว้ โดยปรากฏอยู่ใน “อปทาน” หมายความว่าเป็น “คำกล่าวจากตัวท่านเอง” คือในขณะที่กระทำสังคยานา พระมหากัสสปเถระถามพระอานนท์ว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสเรื่อง “พระปัจเจกพุทธเจ้า” ไว้ที่ไหนบ้าง ท่านถามในขณะที่ทำสังคายนา “พุทธาปทาน” คือเรื่องของพระพุทธเจ้าผ่านไปแล้ว คำว่า “พระพุทธเจ้า”ในที่นี้ จึงมีอยู่ ๒ ประเภท ดังนี้ – พุทธาปทานที่ ๑. ว่าด้วยเหตุให้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า – ปัจเจกพุทธาปทานที่ ๒ ว่าด้วยการให้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า “…พระอานนท์เถระเมื่อจะสังคายนา “อปทาน” ต่อจาก “พุทธาปทาน” นั้นต่อไป อันท่านพระมหากัสสปเถระถามว่า นี่แน่ะ..ท่านอาวุโสอานนท์ “ปัจเจกพุทธาปทาน” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน จึงกล่าวว่า ลำดับนี้ ขอท่านทั้งหลายจงฟัง “ปัจเจกพุทธาปทาน” ดังนี้. อานนท์นี้..เป็นเลิศแห่งภิกษุสาวกของเรา ผู้มีสติ มีธิติ มีคติ เป็นพหูสูต เป็นผู้อุปัฏฐาก ดังนี้ น้อมองค์ลง (น้อมองค์คือกาย) กระทำอัญชลี ได้กราบทูลถามว่า “…ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชื่อว่าพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นไร พระเจ้าข้า ? พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมมี..คือย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุอะไร คือการณ์อะไร. ?” “…ดูก่อนอานนท์ผู้เจริญ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเหล่าใด กระทำบุญญาธิการไว้ คือกระทำบุญสมภารไว้ในพระพุทธเจ้าปางก่อนทั้งหลาย คือในอดีตพุทธเจ้าทั้งหลายปางก่อน ยังไม่ได้ความหลุดพ้นในศาสนาของพระชินเจ้า คือยังไม่บรรลุพระนิพพาน พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมดเป็นนักปราชญ์ กระทำบุคคลผู้หนึ่งให้เป็นประธานโดยมุขคือความสังเวช จึงได้เป็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าในโลกนี้. ผู้มีปัญญากล้าแข็งดี คือมีปัญญากล้าแข็งด้วยดี. แม้เว้นจากพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือแม้เว้นจากโอวาทานุสาสนีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมบรรลุคือย่อมรู้แจ้งปัจเจกสัมโพธิ คือโพธิเฉพาะผู้เดียว ได้แก่โพธิอันต่อเนื่อง (รอง) จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยอารมณ์แม้นิดหน่อย คือแม้มีประมาณน้อย. ในโลกทั้งปวงคือในไตรโลกทั้งสิ้น เว้นเรา (คือพระพุทธเจ้า) คือละเว้นเราเสีย บุคคลผู้เสมอคือแม้นเหมือนพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มี. เราจักกล่าว อธิบายว่า จักบอกคุณนี้ของพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าผู้มหามุนีเหล่านั้น เพียงบางส่วนคือเพียงสังเขป ให้สำเร็จประโยชน์ คือให้ดีแก่ท่านทั้งหลาย. ท่านทั้งปวงผู้ปรารถนา คืออยากได้พระนิพพาน คือเภสัช ได้แก่โอสถอันยอดเยี่ยม คือเว้นสิ่งที่ยิ่งกว่า มีจิตผ่องใส คือมีใจใสสะอาด…” ดังนี้

พระอมิตาภะพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์เบื้องซ้าย-ขวา

June 1, 2019 shantideva 0

พระอมิตาภะพุทธเจ้า (ออมีท้อฮุก หรือ อามีท้อฮุดโจ๊ว) นั้นได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องของพระธยานิพุทธเจ้าในแบบวัชรนิกาย โดยในรูปแบบนี้ถือว่าพระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่ง พระธรรมกาย พระอมิตาภะพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีแสงรัศมีเปล่งประภาสออกมาไม่มีประมาณ (無量光佛, 無邊光佛) ทรงมีอีกพระนามคือ พระอมิตายุพุทธเจ้า แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้มีอายุขัยยาวนานไม่มีประมาณ (無量壽佛) แต่สาธุชนนิยมเอ่ยพระนามของพระองค์แบบทับศัพท์ว่า ออ มี ท้อ ฮุก (阿彌陀佛) แปลว่า พระอมิตาพุทธเจ้า ซึ่งคำว่า “อมิตา” แปลว่ามากมายเกินกว่าจะประมาณค่า เข้าใจว่าเป็นการเรียกขานพระนามของพระพุทธองค์ในความหมายทั้ง ๒ คือ ๑. ทรงมีแสงรัศมีเจิดจรัสมากมายเกินกว่าที่จะประมาณได้ ๒. ทรงมีอายุขัยยาวนานมากมายเกินกว่าที่จะประมาณได้ พระสูตรของมหายานกล่าวว่า “หากผู้ใดภาวนาพระนามของพระองค์อย่างแน่วแน่ตลอดเวลา ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน จนถึงตลอด ๗ วัน ๗ คืน เวลาใกล้จะสิ้นใจพระอมิตาภะพุทธเจ้าพร้อมด้วยอริยบริษัทจะเสด็จมารับดวงวิญญาณของผู้นั้นไปเกิดยังดินแดนสุขาวดีอันสุขารมณ์” อันแดนสุขาวดี(極樂世界)นี้ เป็นชื่อเฉพาะของพุทธเกษตรหรือดินแดนของพระอมิตาภะพุทธเจ้าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกเรา ในคัมภีร์มหาสุขาวดีวยุหสูตร กล่าวว่า ครั้นหนึ่งเมื่อหลายอสงไขยกัลป์มาแล้ว มีพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า “ธรรมการะ” ได้ฟังพระธรรมเทศนาเฉพาะพระพักตร์พระโลเกศวร แล้วเกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะขอเกิดเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จึงได้กราบทูลให้พระองค์ทรงแสดงหลักธรรมอันจะนำไปสู่การเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสและบริบูรณ์ด้วยธรรมอันประเสริฐ พระตถาคตเจ้าทรงใช้เวลาแสดงธรรมสั่งสอนพระภิกษุธรรมการอยู่เป็นเวลานานหลายปี หลังจากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พระภิกษุธรรมการะ เริ่มลงมือปฏิบัติธรรมและเพ่งสมาธิไป ณ ดินแดนสุขาวดี ซึ่งเป็นพุทธเกษตรแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคตถึง 5 กัลป์ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าทำไม ดินแดนสุขาวดีพุทธเกษตร ของพระอมิตาภะพุทธเจ้านั้นจึงเป็นดินแดนที่ชาวพุทธนิกายมหายานให้ความสำคัญมาก และใฝ่ฝันอยากไปเกิดที่นั่น เพราะ เป็นที่สถิตของพระอมิตาภะพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ที่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตนั่นเอง ในพระสูตรกล่าวว่า แดนสุขาวดีเป็นสถานที่สวยงามวิจิตรที่สุดยิ่งกว่าแห่งใดๆ ทั้งทศทิศ ผู้ที่ได้มาอุบัติยังพุทธเกษตรแห่งนี้จะเป็นผู้ปราศจากทุกข์ภัยทั้งปวง จะได้ฟังธรรมเทศนาจากพระอมิตาภะและพระมหาโพธิสัตว์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด จนดวงวิญญาณของเขาผู้นั้นได้สำเร็จมรรคผลเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วกลับมาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์อื่นๆ ต่อไป การจะได้ไปเกิดยังแดนสุขาวดีนั้นก็ไม่ยาก เพียงแต่ระลึกถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่เสมอ โดยการสวดพระนามของพระองค์โดยสม่ำเสมอ ว่า “นำ มอ ออ มี ท้อ ฮุก” (南無阿彌陀佛) และเพียรบำเพ็ญกุศลผลกรรมความดีงามทั้งปวงกตัญญูรู้คุณ ฯลฯ พระปฏิมาหรือภาพวาดของพระองค์จะประดิษฐานอยู่เบื้องขวาของพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอมิตาภะพุทธเจ้าจะทรงมีปัทมบัลลังก์อยู่บนพระหัตถ์ที่ประสานกันในท่าสมาธิ บางแห่งจะทรงแบพระหัตถ์ขวาออกมา เบื้องหน้าแสดงกิริยารับดวงวิญญาณของสรรพสัตว์ที่ประกอบกุศลพร้อมกับระลึกถึงพระองค์ไปเกิดยังแดนสุขาวดี คาสิโนออนไลน์ วันคล้ายวันพุทธสมภพคือ วันที่ ๑๗ เดือน ๑๑ จีน พระโพธิสัตว์คู่บารมี พระอมิตาภพุทธเจ้า พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ (กวนอิมผ่อสัก) เป็นผู้ช่วยฝ่ายขวา พระมหาสถามปราปต์มหาโพธิสัตว์ (ไต้ซีจี้ผ่อสัก) เป็นผู้ช่วยฝ่ายซ้าย พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (觀世音菩薩) เจ้าแม่กวนอิม (观世音、观音) เป็นพระโพธิสัตว์ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่มีผู้รู้จักและศรัทธามากที่สุด เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการกราบไหว้บูชาจากชาวจีนทั่วทุกมุมโลก และแพร่หลายไปอย่างกว้างขวางในทุก ๆ ที่ที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ ในคตินิยมทางสัญลักษณ์วัฒนธรรมมงคลของจีน องค์เจ้าแม่กวนอิม คือ พระผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาต่อสรรพสัตว์ เป็นพระผู้เปี่ยมด้วยความกตัญญู และเป็นสัญลักษณ์แห่งเมตตามหาการุณย์เพื่อโปรดสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์ ดังคำปณิธานของพระองค์ที่ว่า “หากยังมีสัตว์ตกทุกข์ได้ยากอยู่ ก็จะไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ” คาสิโนออนไลน์ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ (大勢至菩薩) พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ (Mahasthamaprapta) คือ พระโพธิ์สัตว์ในดินแดนสุขาวดีแห่งพุทธเกษตรอัครสาวกของพระอมิตาภะพุทธเจ้า เคียงคู่กับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เป็นพระอัครสาวกที่ประทับอยู่ ณ ตำแหน่งเบื้องขวาของพระอมิตาภพุทธะ แต่หากมองจากผู้กราบไหว้บูชาจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ อีกทั้งพระอวโลกิเตศวร(กวนอิม) เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ ในขณะที่พระสถามปราปต์โพธิสัตว์เป็นสัญลักษณ์ของดวงจันทรา ในพระสูตรสุขาวดีวยูหสูตรกล่าวไว้ว่า พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ ยังเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังและปัญญาบารมี แต่มีคนรู้จักน้อยกว่า ถือว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ด้านกำลัง ทั้งสามพระองค์จะตั้งประดิษฐานไว้เรียงกันภายในวิหารแห่งสุขาวดี เรียกกันว่า ไตรเทพแห่งประจิมทิศ หรือ ซีฟางซานเสิ้ง (西方三圣) คาสิโนออนไลน์